“ผู้กองมาร์ค” แนะ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงภาวะผู้นำ ใช้ทฤษฎี “กฎแห่งเพดาน” ปรับแนวทางบริหารประเทศ – เลือกพัฒนาประเทศอย่างจริงใจมากกว่าเลือกพวกพ้องตนทำงาน
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ประธานคณะอนุกรรมการด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ในฐานะหัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ แก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบที่ 2 ล่าช้า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้แย่ลงกว่าเดิม ฟันเฟืองสำคัญอย่าง SMEs ต่างไปกันไม่รอด เพราะรัฐบาลขาดความชัดเจน ทั้งเรื่องแผนการ และเส้นเวลาในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ หากเป็นแบบนี้ใครจะกล้าใช้จ่าย แล้วเราจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างไร
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 15.9 ล้านล้านบาท ในแต่ละปีจะมีรายได้จากการท่องเที่ยว 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของขนาดเศรษฐกิจ (GDP) แต่ขณะนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติแทบไม่มีเลย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ควรเริ่มต้นจากการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจให้ดี เพราะหากแย่ไปกว่านี้ จะยากที่จะแก้ไข ซึ่งการแก้วิกฤติครั้งนี้จะส่งผลให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่ามีมากน้อยเพียงใด เพราะความสามารถในการเป็นผู้นำ คือตัวกำหนดระดับศักยภาพในการประสบความสำเร็จของประเทศ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ควรที่จะทำความเข้าใจในทฤษฎี “กฎแห่งเพดาน” ซึ่ง ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย ได้ทำการศึกษาทฤษฎีดังกล่าวแล้ว และขอเสนอแนะให้ พล.อ.ประยุทธ์ นำไปปรับปรุงและพัฒนา ดังนี้
- การมอบหมายงาน : การรวบอำนาจโดยให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการตัดสินใจเกือบทุกเรื่องนั้น มักจะส่งผลทำให้ประเทศชาติล้มเหลว ผู้บริหารที่ดีควรบริหารบุคลากรได้อย่างถูกต้อง โดยมอบหมายงานให้ถูกคน ซึ่งการบริหารประเทศนั้นไม่สามารถที่จะทำได้ด้วยคนเพียงกลุ่มเดียว แต่ควรที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แม้กระทั่งผู้ที่เห็นต่าง หรือฝ่ายตรงข้าม
- การแสดงความมั่นใจ : ผู้นำที่ดีจะต้องรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง เพราะผู้นำควรมีบุคลิกภาพและการแสดงออกที่ดี ซึ่งหากเราเป็นคนที่มีอุปนิสัยใจร้อนก็ควรต้องฝึกหัดนั่งสมาธิ เพื่อฝึกฝนการเก็บอารมณ์และความรู้สึก
- มุ่งความสนใจไปที่ภาพรวม : อย่าแก้ไขงานราชการเฉพาะหน้าแบบวันต่อวัน เพราะประเทศชาติจะไม่เคลื่อนที่ไปไหนได้เลย เราต้องรู้จักการคิดแบบกลยุทธ์ (Strategic Thinking) ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ Vision and Strategy ร้อยละ 10 และอีก 90 คือการบริหาร ซึ่งผู้บริหารที่ดีควรที่จะมีวิสัยทัศน์ที่ดีและกว้างไกล มีกระบวนการความคิดที่เป็นระบบ เพื่อที่จะสามารถกำหนดทิศทางในการบริหารประเทศว่าควรจะเดินต่อไปอย่างไรและวิธีไหน
- การให้ข้อมูลป้อนกลับที่เป็นประโยชน์ : ผู้นำควรจะต้องมีความกล้าที่จะมีข้อเสนอ เพื่ออธิบายและแนะนำทีมงาน ให้เข้าใจถึงขีดความสามารถการบริหารงานของรัฐมนตรีทุกคน โดยกล้าที่จะปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่ขาดความสามารถเพราะทุกนาทีมีความสำคัญต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก
“ในภาวะวิกฤติแบบนี้ เราควรที่จะสนับสนุนคนที่มีภาวะเป็นผู้นำ และมีความรู้ในเรื่องต่าง ๆ มากกว่าการเอาพวกของตัวเองมาบริหาร ซึ่งสุดท้ายนี้ คงขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะเลือกทิศทางอย่างไร จะพัฒนาประเทศอย่างจริงใจ หรือจะเก็บเฉพาะพวกพ้องของตนเอาไว้ใช้งาน” ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าว