“พิชัย” ชี้ “ประยุทธ์” ยิ่งทำยิ่งเละ มีแต่จะแย่ลงตลอด ห่วง จัดลำดับความสำคัญการบริหารไม่ได้ ไทยกู่ไม่กลับ ประชาชนโกรธแค้น แนะ 12 เรื่องต้องเร่งทำทั้ง วัคซีน เยียวยาเงินสดเดือนละ 5,000 บาท เศรษฐกิจปากท้อง ตรวจสอบทุจริตวัคซีน และหยุดทำร้ายประชาชน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อโควิดรายวันทะลุเกิน 10,000 คน คนตายจากโควิดทะลุเกินวันละ 100 คน ตามที่ได้คาดการณ์และเตือนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ล่วงหน้ามาหลายสัปดาห์แล้ว และสถานการณ์ยังคงแย่ลงอีกเรื่อยๆ เหมือนที่ตนได้บอกไว้แล้วว่า ด้วยข้อจำกัดทางความรู้ความสามารถของผู้นำ พลเอกประยุทธ์ยิ่งทำจะยิ่งเละ ทั้งการควบคุมการระบาด ปัญหา วัคซีน และ ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ยิ่งนับวันประชาชนยิ่งหมดหวัง ได้แต่ห่วงตนเองและครอบครัวว่าถ้าไม่ตายด้วยไวรัสโควิดก็ต้องตายเพราะปัญหาเศรษฐกิจเป็นแน่ นับวันประชาชนจะยิ่งโศกเศร้าและโกรธแค้นพลเอกประยุทธ์ เพราะปัจจุบันแทบทุกบ้านจะมีญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงที่เจ็บและตายจากไวรัสโควิดไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนก็มีสิทธิ์ที่จะติดโควิดและเสียชีวิตได้เหมือนกันหมด จากความล้มเหลวในการบริหารของพลเอกประยุทธ์
การระบาดของไวรัสได้ขยายตัวมากขึ้น และพลเอกประยุทธ์ต้องขยายการล็อกดาวน์จริงๆตามที่ได้เตือนไว้แล้ว และปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนจะยิ่งหนักหนาสาหัสมากขึ้น คนจะอดตายและอาจต้องฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจมากขึ้นพอๆกับคนที่ตายเพราะไวรัสโควิด ถ้าหากพลเอกประยุทธ์ยังบริหารล้มเหลวเละเทะแบบนี้อย่างต่อเนื่อง การขยายการล็อกดาวน์เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะถ้ายังไม่สามารถคัดแยกผู้ติดเชื้อออกมาได้ และ ยังไม่มีวัคซีนที่มีคุณภาพมากระจายฉีดโดยเร็ว การหยุดยั้งการระบาดจะเป็นไปไม่ได้เลย และจะยิ่งระบาดหนักมากขึ้น และต้องขยายการล็อกดาวน์ต่อไปอีก เศรษฐกิจปากท้องก็จะยิ่งทรุดหนักลงอีก
ปัญหาการจัดการวัคซีนกลายเป็นหนังชีวิตมีปัญหาเบื้องลึกเบื้องหลังปรากฎออกมาอย่างมากและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสัญญาของแอสตร้าเซนเนก้า ที่ข้อมูลตรงข้ามกับที่รัฐบาลชี้แจงไว้ การสั่งวัคซีนด้อยประสิทธิภาพที่ขนาด นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ยังต้องออกมาเบรกห้ามซื้อเพิ่ม และ สมาคมทนายความจะยื่นฟ้องรัฐบาลที่จัดซื้อวัคซีนด้อยคุณภาพมาให้กับประชาชน ปัญหาราคาวัคซีนซิโนแวคที่ไทยซื้อมีราคาสูงกว่าราคาประเทศอื่นซื้อมากตามข้อมูลของสื่อต่างประเทศ ทำให้สงสัยถึงการทุจริตคอรัปชั่น และล่าสุด การที่ต้องสั่งให้ฉีดผสมระหว่าง วัคซีนซิโนแมคและวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ก็เท่ากับยอมรับเองเลยว่าซิโนแวค ด้อยคุณภาพใช่หรือไม่ ถึงต้องนำมาฉีดผสม เป็นการแก้ปัญหาความผิดพลาดของรัฐบาลที่สั่งซิโนแวคมามากเกินไปแต่ด้อยคุณภาพ และอาจมีการทุจริต เลยต้องมาลงที่ประชาชนให้ฉีดมั่วผสมกันไปใช่หรือไม่ คำถามคือแม้กระทั่งขณะนี้ทำไมไม่สั่งวัคซีน mRNA เช่น ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา จำนวน มากๆ 60-100 ล้านโดส อย่างจริงจัง และให้เข้ามาเร็วๆเพื่อแก้ปัญหาและสร้างความมั่นใจ เห็นมีแต่พูดเท่านั้น แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร อีกทั้งการที่จะต้องสั่งจองวัคซีนคุณภาพเช่น Novavax ก็น่าจะต้องทำตั้งแต่ตอนนี้แล้ว เป็นต้น ถ้ายังกระจายการฉีดวัคซีนคุณภาพไม่ได้ การระบาดก็ยังจะไม่จบ จะเยียวยาเท่าไหร่ก็จะไม่มีทางเพียงพอ
นอกจากปัญหาการระบาดและปัญหาเรื่องวัคซีนแล้ว ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งซ้ำหนัก ธนาคารโลกได้ลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้และปีหน้าแล้ว สื่อหลักของญี่ปุ่นจัดลำดับประเทศไทยว่าจะเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจากโควิดในอันดับที่ 118 จาก 120 กว่าประเทศ หรือเรียกว่าฟื้นตัวเป็นอันดับท้ายๆเลย และล่าสุด อียู ประกาศว่าไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโควิดแล้วในการเดินทางมา ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะถาโถมทำให้เศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนักอยู่แล้วจะยิ่งทรุดหนักลงอีก การเปิดประเทศใน 120 วันคงเป็นไปไม่ได้และล้มเหลวแล้ว ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ก็มีแต่ข่าวในทางลบออกมาตลอด และเมื่อประชาชนทนกันไม่ไหวต่อความล้มเหลวในทุกด้าน จึงต้องออกมาประท้วงขับไล่ กลับต้องเจอการใช้กำลังทำร้ายของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งใช้น้ำฉีดและใช้แก๊สน้ำตา บาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก ยิ่งสร้างความโกรธแค้นเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันทำให้พลเอกประยุทธ์ไปไม่เป็น เดินต่อไม่ได้ ทำอะไรก็ผิด ยิ่งทำยิ่งเละ ยิ่งคิดยิ่งผิด จัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆไม่ได้ เพราะขาดหลักคิดและไม่เปิดใจรับฟัง พอคนวิจารณ์และแนะนำ ก็ส่งคนไร้ต้นทุนออกมาตอบโต้แบบมั่วๆ พร้อมกับปิดกั้นการรับรู้ ซึ่งสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเสนอเป็นความจริงและถูกต้องมาโดยตลอด ทั้งเรื่องการระบาด ปัญหาวัคซีน และ เรื่องปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ไม่ได้ใส่ร้ายแต่เป็นการเตือน และสุดท้ายรัฐบาลก็ต้องนำแนวทางที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอมาทำตาม แต่ก็ดูเหมือนจะสายไปและน้อยไปแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้หยุดดื้อรั้นและเลิกอคติ หัดเปิดสมองรับฟัง เพื่อจะนำไปปรับปรุงแก้ไขปัญหา ถึงตอนนี้แล้วไม่มีใครจำเป็นต้องดิสเครดิตพลเอกประยุทธ์แล้ว เพราะพลเอกประยุทธ์ไม่เหลือเครดิตและความน่าเชื่อถือเหลืออยู่แล้ว โพลสำรวจล่าสุดประชาชนที่เชื่อว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาได้เหลือแค่ 3.7% อีก 96.3% ไม่เชื่อแล้ว ซึ่งไม่มีใครเสียเวลาต้องมาดิสเครดิตกันแล้ว เอาประเทศและประชาชนให้รอดก่อนจะดีกว่า ดังนั้นจึงขอเสนอ 12 เรื่องทำได้ทันที ดังนี้
- ติดต่อจัดหาวัคซีน mRNA ให้เข้ามามากที่สุดและเร็วที่สุดในทุกวิถีทาง ทุกคอนเนคชั่น ไม่ใช่แค่รอจากบริษัท จะไปขอยืมประเทศอื่นที่มีเหลือมาก่อนแล้วค่อยคืนเขาก็ได้ ถ้าทั้งรัฐบาลไม่มีใครมีคอนเนคชั่นเลย ก็ไม่ควรบริหารประเทศกันแล้ว หรือ ไม่ก็ไปขอพี่โทนี่ช่วย โดยมอบอำนาจให้ไปช่วยหาให้ (ไม่ได้ประชด เพราะเชื่อว่าเป็นทางออกที่ทำได้จริง)
- กระจายการฉีดวัคซีนตามบ้านแบบสหรัฐทำ (ไม่ใช่ให้ทหารไปตรวจไวรัสโควิดตามบ้าน พอเจอแล้วไม่มีเตียง แล้วจะทำอย่างไร ที่ผมแนะให้เลียนแบบต่างประเทศ แต่ต้องเลียนแบบให้ถูกวิธี)
- เร่งสั่งจองวัคซีน Novavax ล่วงหน้าในปริมาณที่เพียงพอ
- กำหนดการการกระจายฉีดวัคซีนคุณภาพให้กับประชาชนได้ครบแล้ว จึงกำหนดวันเปิดประเทศที่แน่นอน
- เปิดโรงพยาบาลสนามในค่ายทหาร เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อที่จะมีจำนวนมากขึ้น
- สอบสวนหาผู้ทุจริตในการจัดซื้อวัคซีน เพราะไม่มีเหตุผลที่การจัดการวัคซีนจะมั่วได้ขนาดนี้ ถ้าไม่มีการทุจริตอยู่เบื้องหลัง
- ต้องเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง เดือนละ 5,000 บาท จนกว่าจะคุมไวรัสได้ ทั้งนี้ เพราะเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล โดยต้องจ่ายเป็นเงินสด ซึ่งอาจจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นแต่ก็ต้องทำเพื่อให้ประชาชนรอด หลังจากควบคุมโควิดได้แล้ว พลเอกประยุทธ์ต้องออกไป เพื่อให้มีรัฐบาลที่มีความสามารถหาเงินเข้ามาหาเงินใช้หนี้แทน
- เยียวยาภาคธุรกิจ หยุดเงินต้น หยุดดอกเบี้ยจนกว่าสภาวะการระบาดจะสิ้นสุด รวมถึงการพิจารณาลดหนี้ ลดดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินต่อได้หลังวิกฤติไวรัสโควิดสิ่นสุด ต้องเข้าใจว่าวิกฤตการณ์ไวรัสไม่ใช่ความผิดของประชาชน รัฐบาลจึงต้องเข้าช่วยเหลือเท่าที่ทำได้
- เร่งสนับสนุนธุรกิจส่งออก เพราะเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจตัวเดียวที่ยังหาเงินเข้าประเทศได้ และดูแลค่าบาทให้อยู่ในระดับต่ำแบบนี้ และ อาจจะต่ำลงได้อีก เพื่อให้ส่งออกได้มากขึ้น
- ตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นทั้งหมดของทุกกระทรวง เพื่อนำมาช่วยเหลือประชาชนก่อน และทุ่มเงินแก้ไขเรื่องโควิด โดยเฉพาะการตัดงบทหาร งบซื้ออาวุธ หยุดการเกณฑ์ทหาร (ทหารเกณฑ์ติดโควิดกันมากด้วย) โดยเฉพาะหยุดการซื้อเรือดำน้ำ โดยความจำเป็นสูงสุดตอนนี้ คือประชาชนต้องรอดก่อน
- เร่งแก้รัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดไม่เอาพลเอกประยุทธ์แล้ว ถ้าหากยังดื้อดึงให้กลับมาจะสร้างปัญหาไม่รู้จบ
- หยุดทำร้ายประชาชนที่ออกมาชุมนุมเพื่อประท้วงความล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์ ถ้าไม่ล้มเหลวในทุกด้านประชาชนคงไม่อยากจะออกมาขับไล่ในภาวะที่การระบาดมากขนาดนี้ ประชาชนต้องหมดความอดทนกันแล้วจริงๆ
นี่เป็น 12 เรื่องที่สามารถทำได้ทันที และจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในตอนนี้ เพื่อให้ยุติการระบาด การจัดการวัคซีน และ การเปิดประเทศได้อย่างแท้จริง ซึ่งหลังจากสถานการณ์คลี่คลายก็ต้องเปลี่ยนผู้นำแล้ว เพราะพิสูจน์แล้วว่าประชาชนหมดความเชื่อถือ และรีบจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใต้กติกาที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง นี่เป็นทางออกและทางรอดของประเทศไทย ก่อนที่จะเละเทะมากไปกว่านี้ และหากปล่อยนานไปอาจจะล้มเหลวเกินเยียวยาได้