“พิชัย” จี้ “ประยุทธ์” เลิกปิดกั้นการ Call Out ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ชี้ ปิดกั้นความเห็นในอดีตมีแต่ทำเจ๊ง แนะ ย้อนกลับฟังคำพูดตัวเอง ผิด 4 ประเด็น
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า จากสภาวะการบริหารที่ล้มเหลวในการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งทำให้การระบาดอย่างแพร่กระจายของไวรัสโควิด เป็นผลให้มีคนเจ็บและคนตายเพิ่มขึ้นไม่หยุดและจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ และการแพร่ระบาดอย่างหนักเป็นผลให้พลเอกประยุทธ์ ต้องสั่งล็อกดาวน์ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก โดยยังไม่รู้เลยว่าจะปลดล็อกดาวน์ได้เมื่อไหร่ อาจจะต้องล็อกดาวน์อีกเป็นหลายเดือน ซึ่งจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบค่อนข้างแน่แล้ว หลังจากที่ปีที่แล้วติดลบแล้ว -6.1% ซึ่งจะทำให้ประชาชนลำบากกันเป็นจำนวนมาก ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานจากการระบาดของไวรัสเป็นจำนวนแสนๆ คนจนเตียงในโรงพยาบาลเต็มหมด และต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างแสนสาหัส ที่พลเอกประยุทธ์ ไม่สามารถแก้ไขได้เลย ประชาชนได้แต่รอว่าจะเสียชีวิตจากไวรัสหรือจะต้องรออดตาย เป็นสภาวะที่สุดจะอดทนได้
จากความหวาดกลัวและความลำบากที่กระจายไปทั่ว ทำให้บุคคลที่มีชื่อเสียงและผู้มีอิทธิพลในสาขาอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะดารา นักร้อง ต่างก็ออกมา Call Out เพื่อให้พลเอกประยุทธ์ เร่งปรับปรุงแก้ไข แต่พลเอกประยุทธ์ กลับหาทางปิดปาก เหมือนไม่อยากจะรับรู้ความจริง โดยล่าสุดยังกล้าประกาศที่จะดำเนินคดีคน Call Out อีก โดย สั่งกวดขันดำเนินคดี “ข่าวปลอม” ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อที่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพและน่าจะผิดหลักประชาธิปไตยและขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งสมาคมทนายความก็ได้แสดงความไม่เห็นด้วยและได้ออกมาปกป้องแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้เลิกการกระทำดังกล่าว และยอมรับฟังและพิจารณาการ Call Out เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขความล้มเหลวของตนเอง อีกทั้งศึกษา Roadmap ที่พี่โทนี่ได้เสนอทางออกไว้ และหลายฝ่ายให้การยอมรับ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ ทนไม่ไหวก็ไม่ควรจะเป็นผู้นำต่อไปแล้ว เพราะประชาชนทนทรมานกับความล้มเหลวของประยุทธ์ ต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ หากจำกันได้ ผมเองเป็นคนแรกๆ ที่ Call Out เรื่องเศรษฐกิจ จนพลเอกประยุทธ์ เรียกผมปรับทัศนคติหลายหน แต่สุดท้ายปัญหาเศรษฐกิจก็ย่ำแย่จริงตามที่ผมได้เตือน นอกจากจะเรียกผมแล้วยังพูดจาไม่สุภาพต่อว่าผมผ่านสื่อมวลชนหลายครั้ง ซึ่งแสดงถึงวุฒิภาวะที่เสื่อมโทรม ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ จะย้อนกลับไปฟังเรื่องต่างๆ ที่พลเอกประยุทธ์ พูดไว้เอง แต่กลับทำล้มเหลวหนักโดยอยากขออธิบายให้เห็นชัดเจนเป็น 4 ประเด็นดังนี้
- เรื่องพลังงาน พลเอกประยุทธ์ ต่อว่าผมเรื่องพลังงาน แต่ตัวเองกลับบริหารด้านพลังงานได้ล้มเหลวมาก มีการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพิ่มถึงลิตรละ 5.99 บาท ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าน้ำมันสูงกว่าราคาตลาดโลกมาก อีกทั้งพลเอกประยุทธ์ ยังเอาใจนายทุนพลังงานมีการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าจริงถึง 40-50% เลย ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าสูงขึ้น เพราะประชาชนต้องจ่ายค่าความพร้อมให้กับโรงไฟฟ้าแม้จะไม่ได้ผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยกลับไม่ได้ประโยชน์เลยกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงมากตลอดหลายปี ทั้งที่ประเทศไทยประหยัดค่านำเข้าน้ำมันที่ถูกลงปีละหลายแสนล้านบาท แต่เศรษฐกิจไทยกลับขยายตัวได้ต่ำเตี้ย
- พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้ทราบสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นจริง ฟังแต่คนรอบข้างที่ให้ข้อมูลผิดๆ เอาข้อมูลที่ไม่สะท้อนความจริงมาอ้าง จนทำให้คิดว่าเศรษฐกิจไทยยังดี ทั้งที่เศรษฐกิจไทยเสื่อมถอยมาตลอด อีกทั้งพลเอกประยุทธ์ พูดถึง Thailand 4.0 และ ปัญญาประดิษฐ์ (Ai) แต่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจ ประเทศไทยเลยแย่ ไม่ได้มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีเลย บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือ ยูนิคอร์นของไทยจึงไม่เกิด
- พลเอกประยุทธ์ พูดในการประชุมนานาชาติ G77 ถามถึงผมว่า จบอะไรมา ทั้งที่ผมจบเศรษฐศาสตร์ และ บริหารธุรกิจ (MBA) จุฬาฯ แต่พลเอกประยุทธ์ กลับไม่ได้ดูตัวเองเลยว่า จบอะไรมา มีความรู้อะไรถึงมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยถึงได้พังขนาดนี้ใช่หรือไม่ อีกทั้งในการประชุมนานาชาติแทนที่พลเอกประยุทธ์ จะใช้โอกาสดังกล่าวแสดงวิสัยทัศน์สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ประเทศไทย แต่กลับใช้เวทีนานาชาตินี้มาโจมตีผม
- พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้ศึกษาเลยว่าก่อนเกิดการปฏิวัติในปี 2555 สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เศรษฐกิจไทยโตได้มากถึง 7.2% และในปี 2557 ที่ขยายได้เพียง 0.9% นั้น มาจากสาเหตุของการปฏิวัติและพลเอกประยุทธ์ เข้ามาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เศรษฐกิจไทยก็ย่ำแย่ตั้งแต่นั้นมา
นี่เป็นการสะท้อนคำพูดของพลเอกประยุทธ์ เองที่เคยพูดสวนผมไว้ ตอนที่ผมได้เตือนแต่กลับไม่รับฟัง ปัญหาจึงได้สะสมและเศรษฐกิจไทยถึงได้ย่ำแย่อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหากเปิดใจรับฟังและหาทางแก้ไข เศรษฐกิจไทยก็คงจะไม่แย่ขนาดนี้ ดังนั้นจึงไม่อยากให้พลเอกประยุทธ์ ต้องผิดซ้ำซ้อน และต้องหัดเปิดใจรับฟังทุกฝ่ายและยกเลิกการปิดกั้นการแสดงความเห็นได้แล้ว ก่อนประเทศไทยจะยิ่งทรุดหนักมากไปกว่านี้