“ณัฐวุฒิ”ชี้ เนติบริกรใช้เทคนิคทาง กม. บีบให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายฟ้อง
“ณัฐวุฒิ”ชี้ เนติบริกรใช้เทคนิคทางกม. บีบให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายฟ้อง เลี่ยงค่าธรรมเนียมศาล แขวะ กล้าฉีกรธน.-ยกเลิกกม.-ใช้ ม.44 แต่กลับกลัวตกเป็นจำเลยตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีต รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ประเมินท่าทีที่รับลูกกันเชื่อว่ารัฐบาลคงลงมือใช้คำสั่งทางปกครองบังคับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ชดใช้ค่าเสียหายโครงการจำนำข้าว โดยใช้คำอธิบายของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นใบเบิกทาง จึงขอเสนอข้อเท็จจริงที่แตกต่างเพื่อประกอบการพิจารณาของประชาชนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การดำเนินการโดยปกติ เพราะรัฐบาลที่รัฐประหารไม่มีความชอบธรรมที่จะใช้อำนาจโดยตรงกล่าวหาและตัดสินคดีรัฐบาลที่ถูกตนยึดอำนาจ สิ่งที่ควรจะเป็นคือต้องใช้กระบวนการทางศาล ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ชัดเจนมาตลอดว่าจะฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย แต่เมื่อเนติบริกรพบว่าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมศาล จึงใช้เทคนิคทางกฎหมายบีบให้ผู้ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายฟ้อง
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า การอ้างว่าคดีจะหมดอายุความ เป็นเหตุให้ต้องเร่งรัดนั้น ก็รับฟังไม่ได้ เพราะกว่าจะถึงจุดนั้นเหลือเวลาอีก 1 ปี 5 เดือน การฟ้องแพ่งทำได้ทันก่อนหมดอายุความแน่นอน น่าประหลาดที่รัฐบาลชุดนี้กล้าทั้งฉีกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกกฎหมายมากมาย ใช้อำนาจสูงสุดตามมาตรา 44 ก็หลายกรณี ไม่เคยแสดงออกว่ามีอะไรต้องกลัว แต่กลับอ้างว่ากลัวตกเป็นจำเลยตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เรื่องนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลเลือกตั้งซึ่งขับเคลื่อนนโยบายตามที่แถลงไว้กับรัฐสภาจะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าวิธีคำนวนตัวเลขดังกล่าวใช้ฐานข้อมูลแบบไหน และหากอ้างว่าตัวเลขค่าเสียหายนั้นเป็นจริง ขอตั้งคำถามกับรัฐบาลว่า กล้าเปิดเผยข้อมูลหรือไม่ว่าธกส.โอนเงินตรงจากบัญชีธนาคารเข้าบัญชีชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวไปแล้วทั้งหมดเท่าไหร่
“ผมอยู่กับความเป็นจริง รู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาแห่งความชอบธรรม แต่เป็นเวลาแห่งอำนาจ และเมื่อนึกถึงชะตากรรมของน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็เห็นใจจนไม่อยากจินตนาการ แต่นึกไม่ถึงว่าฝ่ายที่ตามเล่นงานจะมัดมือชกและปฏิเสธแม้แต่โอกาสที่อดีตนายกฯ จะได้สู้อย่างสมศักดิ์ศรี” นายณัฐวุฒิกล่าว