เยาวชนผู้เปลี่ยนโลก :Severn Cullis-Suzuki กับคำพูด 5 นาทีที่เปลี่ยนโลก

เครดิตภาพจาก http://www.dw.de/das-m%C3%A4dchen-von-rio-blickt-zur%C3%BCck/a-15984336

ในโลกของเราจะมีเด็กสักกี่คนที่มีความมุ่งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งและทำมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
ที่สำคัญยังคงทำสิ่งที่เขา หรือเธอมุ่งมั่นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหนึ่งในคนจำนวนไม่มากนั้นคือ
Severn Cullis-Suzuki
นักสิ่งแวดล้อมชาวแคนาดา

Suzuki
เกิดและเติบโตในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา คุณแม่ของเธอเป็นนักเขียน ในขณะที่คุณพ่อของเธอเป็นนักพันธุศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อม
 Suzuki
เป็นลูกครึ่งแคเนเดียน-ญี่ปุ่น ตอนอายุเพียง 9 ขวบขณะที่เรียนอยู่ในชั้นประถม เธอได้ก่อตั้งองค์กร Environmental
Children’s Organization (ECO) ซึ่งเป็นกลุ่มของเด็กที่มีความสนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและพร้อมที่จะให้ความรู้กับเด็กคนอื่นๆในเรื่องของสิ่งแวดล้อม

ปี 1992 เมื่อ Suzuki อายุ 12 ปี เธอได้รวบรวมเงินจากสมาชิกกลุ่ม ECO เพื่อเดินทางไปยังการประชุม Earth Summit ของ The
United Nations Conference on Environment and Development (UNCED) ที่เมืองริโอ
เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล พร้อมกับสมาชิกกลุ่ม ECO คนอื่นๆ
ซึ่งเธอได้ขึ้นกล่าวในงานประชุมดังกล่าวในฐานะตัวแทนของเยาวชนซึ่งพูดถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อม
และการพูดของเธอในวันนั้นได้ส่งผลสะเทือนวงการสิ่งแวดล้อมโลก
รวมไปถึงคนทั่วไปที่ได้รับฟัง จน Suzuki ถูกขนานนามให้เป็น
“The Girl Who Silenced the World for 5 Minutes” หรือ “เด็กหญิงที่ทำให้โลกต้องเงียบไปถึง 5 นาที”

ต่อมาในปี 1993
เธอได้รับเกียรติจาก The United Nations Environment Programme (UNEP) มอบรางวัล Global 500 Roll of Honour และมีหนังสือ “Tell The World” ของเธอ
ตีพิมพ์ในปีเดียวกัน ซึ่งหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับการดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นสาระสำคัญ

เครดิตภาพจาก http://www.dw.de/rio-girl-severn-cullis-suzuki-20-years-on/a-15974444

ด้านการศึกษาและการทำงาน
 Suzuki จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์
นิเวศวิทยา จากมหาวิทยาลัย Yale ในปี 2002 และจบปริญญาโททางด้านพฤกษศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Victoria ในปี 2007 ในด้านการทำงานนั้น เธอทำงานเกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด
ทั้งการเป็นพิธีกรในรายการสิ่งแวดล้อมสำหรับเด็กทางช่อง Discovery  เป็นสมาชิกกลุ่มการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมขององค์กรสหประชาชาติซึ่งเธอเข้าร่วมทำโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี
2002 
ปัจจุบันเธอยังคงทำงานด้านสิ่งแวดล้อมอยู่และเพิ่มขอบเขตงานไปยังเรื่องของสิทธิมนุษยชนอีกด้วย

นี่คือคำพูดของ Suzuki จากการประชุม Earth
Summit1992

ถือเป็น 5 นาทีที่เธอทำให้ทั้งโลกต้องหันมาฟัง

 https://www.youtube.com/watch?v=OYV7DQbw8Rw#t=295

สวัสดีค่ะ ดิฉัน Severn
Suzuki ตัวแทนจาก ECO
องค์กรเด็กพิทักษ์สิ่งแวดล้อม เราคือกลุ่มเด็กอายุ 12-13
ปีที่พยายามจะสร้างความแตกต่าง Michelle Quigg, Vanessa Suttie, Morgan
Geisler และดิฉัน เราทุ่มเงินทั้งหมดของเราเพื่อมาที่นี่ด้วยตัวเอง
นั่งเครื่องบินมากว่า 5,000 ไมล์
เพื่อมาบอกว่าพวกคุณควรปรับเปลี่ยนแนวทางที่เป็นอยู่ ที่ฉันขึ้นมาพูดวันนี้
ฉันไม่ได้ต้องการผลประโยชน์อะไรกับตัวฉันทั้งสิ้น ฉันจะมาต่อสู้เพื่ออนาคตของฉัน
สูญเสียอนาคตมันไม่เหมือนกับการแพ้การเลือกตั้ง หรือการเสียหุ้นบางจุดในตลาดหุ้น

ฉันมาพูดที่นี่ก็เพื่อลูกหลานรุ่นต่อๆ
ไปของเรา ฉันมาที่นี่เพื่อพูดแทนเด็กๆ ที่ยากลำบากทั่วโลก
ที่ต้องร้องไห้โหยหวนและเจ็บปวด ฉันมาพูดแทนสัตว์นับไม่ถ้วนที่ตายไปทั่วโลก
เพราะพวกมันไม่มีที่จะให้ไปแล้ว ฉันกลัวที่จะออกไปสู้กับพระอาทิตย์แล้วตอนนี้
เพราะว่ามันมีช่องโหว่ในชั้นโอโซนของเรา ฉันกลัวที่จะสูดอากาศ
เพราะฉันไม่รู้ว่ามีสารเคมีอะไรปนอยู่บ้าง

ฉันเคยไปตกปลาที่รัฐแวนคูเวอร์
บ้านของฉันกับพ่อ จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ เราเจอปลาที่เต็มไปด้วยโรคมะเร็งนานาชนิด
และตอนนี้เราก็ต่างรู้ว่า ทั้งสัตว์และพืชต่างๆ กำลังจะสูญพันธุ์อยู่ทุกวัน
และกำลังจะสูญหายไปตลอดกาล ทั้งชีวิตของฉัน ฉันใฝ่ฝันอยากจะเห็นฝูงสัตว์มหึมา
ป่าไม้และป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยนกและผีเสื้อ
แต่ตอนนี้ฉันสงสัยว่าพวกมันจะอยู่ถึงให้รุ่นลูกหลานของฉันได้เห็นหรือไม่

พวกคุณเคยต้องกลุ้มเรื่องพวกนี้ตอนอายุเท่าฉันไหมล่ะ
ทั้งหมดกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา เพราะเรากลับทำราวกับว่าเรามีเวลาเหลือเฟือที่จะหาทางแก้ไขได้ทัน
ฉันเป็นแค่เด็ก และฉันก็ไม่มีทางแก้ไขได้ทุกสิ่งหรอก แต่ฉันอยากให้พวกคุณรู้ว่า พวกคุณก็ไม่มีเหมือนกัน
พวกคุณไม่รู้วิธีซ่อมช่องโหว่ในชั้นโอโซนของเรา
พวกคุณไม่รู้วิธีพาปลาแซลมอนออกจากน้ำเน่า
พวกคุณไม่รู้วิธีชุบชีวิตสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
และพวกคุณไม่สามารถชุบชีวิตผืนป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์
ซึ่งตอนนี้กลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว

ถ้าพวกคุณไม่รู้วิธีซ่อมมัน
ก็ได้โปรดหยุดทำลายมันเถิด ณ ตอนนี้ คุณคือตัวแทนของรัฐบาลประเทศคุณ นักธุรกิจ
ผู้จัดการ นักข่าว นักการเมือง แต่จริงแล้วพ่อและแม่คุณ พี่น้องคุณ ลุงป้าน้าอาคุณ
และพวกคุณทั้งหลาย ก็คือลูกกันทั้งนั้น ฉันเป็นแค่เด็ก
แต่ฉันรู้ว่าเราคือครอบครัวใหญ่ถึง 5,000 ล้านชีวิต
แต่ที่จริงแล้วมีถึง 30 ล้านสายพันธุ์ต่างหาก
พรมแดนและรัฐบาลไม่มีทางแบ่งแยกเราได้

ฉันเป็นเพียงแค่เด็ก
ที่รู้ว่าเรากำลังเผชิญสิ่งนี้ร่วมกัน และควรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อเป้าหมายเดียว
ตอนฉันโกรธฉันก็ยังไม่ตาบอด และตอนฉันกลัวฉันก็ไม่เกรงกลัวที่จะบอกให้โลกรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร
ในประเทศของฉัน เราสร้างทางเลือกเยอะเกินไป เราซื้อแล้วก็ทิ้ง ซื้อแล้วก็ทิ้ง
และแถมประเทศทางเหนือก็ไม่แบ่งปันให้กับผู้ด้อยโอกาส แม้ว่าเราจะมีมากเกินพอแล้ว
เราไม่กล้าที่จะแบ่ง เราไม่กล้าที่จะแบ่งความรวยให้คนอื่นบ้าง

ในแคนาดา เรามีชีวิตที่ครบครัน
เรามีอาหาร น้ำและที่อยู่อาศัยมากมาย เรามีนาฬิกาข้อมือ จักรยาน
คอมพิวเตอร์และทีวี ไม่กี่วันก็เบื่อ สองวันก่อนที่บราซิลนี่แหละ เราถึงกับต้องช็อคเมื่อเห็นเด็กบางคนต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน
และนี่คือสิ่งที่เด็กคนหนึ่งบอกกับฉัน “หนูหวังว่าหนูจะรวย
และถ้าหนูรวยจริง หนูจะให้อาหาร เสื้อผ้า ยา ที่อยู่และความรักความห่วงใยกับเด็กข้างถนนทั้งหมด” ถ้าขนาดเด็กข้างถนนที่ไม่มีอะไรเลย ยังอยากที่จะแบ่งปัน
แล้วทำไมเราผู้ซึ่งมีทุกสิ่งกลับยังโลภกันได้เช่นนี้

ฉันหยุดคิดไม่ได้ว่า
นี่คือเด็กในวัยเดียวกับฉัน ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เกิด
ซึ่งฉันก็สามารถเป็นเด็กพวกนั้นที่อาศัยอยู่ในฟาเวลลัส ริโอได้เช่นกัน
ฉันสามารถเป็นเด็กอดอยากที่โซมาเลียได้
หรือเป็นเหยื่อของสงครามที่ตะวันออกกลางก็ได้ หรือขอทานในอินเดีย

ฉันเป็นเพียงเด็ก
ที่รู้ว่าเงินทุนสงคราม ควรจะนำมาใช้ตอบคำถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและจัดหาที่อยู่อาศัย
โลกมันจะน่าอยู่ขึ้นมากแค่ไหนคุณลองนึกดู ที่โรงเรียนแม้แต่อนุบาล
คุณสอนให้เราปฏิบัติยังไงต่อโลก คุณสอนให้เราห้ามเล่นกับคนอื่น สอนให้คิด
สอนให้เคารพคนอื่น สอนให้เก็บกวาดสิ่งที่ทำ สอนว่าห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่น
ให้แบ่ง อย่างกของ แล้วทำไมคุณถึงทำสิ่งที่คุณห้ามไม่ให้เราทำล่ะ

จงตระหนักว่าทำไมคุณถึงมาเข้าร่วมประชุมที่นี่
คุณทำไปเพื่อใคร เราคือลูกหลานของคุณ คุณเป็นคนตัดสินว่าคุณอยากอยู่บนโลกแบบไหนในอนาคต
พ่อแม่ควรปลอบใจลูกด้วยการพูดว่า “ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
โลกยังไม่แตกซักหน่อย”“พ่อกับแม่ทำดีที่สุดแล้ว” แต่ฉันว่าพวกคุณคงจะพูดแบบนั้นกับเราไม่ได้แล้วล่ะ
เด็กอย่างเราเคยสำคัญกับคุณบ้างไหม

พ่อฉันบอกเสมอว่า
ลูกคือสิ่งที่ลูกทำ
ไม่ใช่สิ่งที่ลูกพูด”
ก็นะ สิ่งที่พวกคุณทำ ทำให้พวกเขาร้องไห้ทุกคืน
คุณออกไปพูดว่าคุณรักเรา แต่ฉันขอท้าคุณเลย ช่วยทำอะไรให้สมกับคำพูดหน่อย
ขอบคุณค่ะ”