“เพื่อไทย” แนะ “ประยุทธ์” เร่งกำชับ “แบงก์ชาติ” แก้ค่าเงินบาทให้อ่อนลง ก่อนเศรษฐกิจทรุดหนัก

นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลายครั้ง ให้เร่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แก้ไขค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาก แต่ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เข้าใจ เพราะค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบาทได้แข็งค่าที่สุดในรอบ 12 เดือนจะทะลุ 30 บาทแล้ว ซึ่งสวนทางกับสภาวะความเป็นจริงที่เศรษฐกิจไทยกำลังย่ำแย่และยังคงติดลบสูง อีกทั้งการส่งออกยังติดลบมากเช่นกัน ค่าบาทที่แข็งค่ามากจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ทรุดหนักลงอีก การที่เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ติดลบน้อยกว่าที่คาดไว้ ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจฟื้นตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง รัฐบาลน่าจะเข้าใจผิด เจ๊งมากหรือเจ๊งน้อยก็ยังเจ๊งอยู่ ไม่ได้เป็นบวกแต่อย่างไร อีกทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าต่ำลงมาก หรืออาจจะไม่ฟื้นเลยก็ได้

ทั้งนี้รัฐบาลและแบงก์ชาติสามารถร่วมกันหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ ซึ่งมาตรการทุกมาตรการจะมีผลกระทบซึ่งต้องพิจารณาให้ดี โดยการไหลเข้าของเงินต่างประเทศที่มาเก็บกำไรระยะสั้น แล้วทำให้ค่าเงินบาทแข็งไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในภาวะเช่นนี้ และความจริงหากรัฐบาลจะรู้จักลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เงินทุนสำรองก็จะไม่มากเท่านี้ ค่าเงินบาทก็จะไม่แข็งค่ามากเท่านี้ อีกทั้งประเทศไทยก็จะได้พัฒนาก้าวหน้า สร้างรายได้ให้กับประชาชนได้มากขึ้น เป็นการเสียโอกาสของประเทศ และของประชาชนที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยหากจำกันได้ ถ้าให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ลงทุนโครงการการบริหารจัดการน้ำมูลค่ากว่า 3 แสนล้าน และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมกว่า 2 ล้านล้านบาท หากรัฐบาลยังบริหารต่อป่านนี้ก็คงมีรถไฟความเร็วสูงวิ่งหลายสายแล้ว และค่าบาทก็คงไม่แข็งค่าเท่านี้ ประชาชนก็จะได้เดินทางสะดวกสบายขึ้นมาก แต่เสียดายที่ศาลไม่ให้ทำ แต่กลับให้ พล.อ.ประยุทธ์ทำ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำไม่เป็น โดย 6 ปีกว่า ทำรถไฟความเร็วสูงได้แค่ 3 กิโลเมตร เป็นที่น่าขบขันของประชาชนทั่วไป

ค่าเงินบาทที่แข็งที่มีผลต่อการส่งออกที่ตกต่ำอยู่แล้วอย่างมาก โดยคาดว่าการส่งออกของไทยปีนี้จะลดลงติดลบร้อยละ 8-10 แม้กระทั่งการค้าชายแดนระหว่างไทยกับลาวในบริเวณชายแดนจังหวัดหนองคายยังได้รับผลกระทบอย่างมาก ค่าเงินกีบในอดีตมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ 250 กีบ/บาท พุ่งขึ้นถึง 310 กีบ/บาท หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24 ซึ่งกระทบต่อราคาสินค้าทำให้ขายสินค้ายาก ทำให้การค้าชายแดนทั้งหมดลดลงมาก โดยการค้าชายแดนระหว่างไทยกับลาวในรอบ 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) ลดลงร้อยละ 5.21 เหลือเพียง 156,114 ล้านบาท ระหว่างไทยกับเมียนมาร์ลดลงร้อยละ 14.85 ระหว่างไทยกับมาเลเซียลดลงร้อยละ 14.67 เป็นต้น

นอกจากเรื่องค่าเงินแล้วยังมีปัญหาระบบศุลกากรที่ทำให้ยุ่งยาก ซึ่งควรจะเร่งปรับปรุงแก้ไขให้ง่ายขึ้นเพราะไทยได้เปรียบดุลการค้ากับเพื่อนบ้านอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้ระเบียบกลายเป็นช่องทางในการทุจริตของข้าราชการ

ดังนั้นจึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เร่งกำชับให้ ธปท. เร่งแก้ไขค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง เพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจโดยรวมให้กลับมาได้โดยเร็ว ก่อนที่เศรษฐกิจจะยิ่งทรุดหนักและประชาชนจะยิ่งลำบากเพิ่มขึ้น และจะทนกันไม่ไหว ต้องออกมาไล่รัฐบาลกันมากขึ้น