“เพื่อไทย” ห่วง โควิด-19 ระบาด ทำธุรกิจ SMEs เจ๊ง เตือน 30 ธ.ค.นี้ ไทยถูกสหรัฐฯตัด GSP ครั้งที่ 2 แนะรัฐบาลเร่งหามาตรการช่วยเหลือ

นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งใหม่ ที่เกิดจากความล้มเหลวของฝ่ายความมั่นคง ที่ปล่อยให้มีการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเถื่อนเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนในชาติ ซึ่งการระบาดเริ่มขยายในวงกว้าง และส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 2 แสนล้านบาท โดยธุรกิจ SMEs จะได้รับผลกระทบมากที่สุด และจะมีการปิดตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ด้านอาหารทะเล เพราะคนจำนวนมากไม่กล้าบริโภคอาหารทะเลที่เชื่อว่ามีการใช้แรงงานต่างด้าวที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และการที่รัฐบาลส่งอธิบดีกรมประมงออกมาทานกุ้งโชว์ เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารทะเลที่ผ่านการต้มสุกแล้ว จะไม่แพร่เชื้อ แต่แทนที่จะใช้กุ้งจากจังหวัดสมุทรสาคร กลับใช้กุ้งที่มาจากบริษัทใหญ่โดยมีกล่องโชว์ยี่ห้ออย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตอกย้ำปัญหาการเอื้อนายทุนใหญ่มากกว่าธุรกิจรายย่อย ทั้งๆที่มีพ่อค้าขายกุ้งในจังหวัดสระแก้วต้องฆ่าตัวตายเพราะขายกุ้งไม่ได้ และหากรัฐบาลยังไม่อาจสร้างความมั่นใจขนาด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ยอมทานกุ้งเอง แต่กลับส่งนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปแทน ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับประชาชน

นอกจากนี้ ในวันที่ 30 ธันวาคมที่จะถึงนี้จะถึงกำหนดวันที่สหรัฐฯตัดจีเอสพีไทยเป็นครั้งที่ 2 ในสินค้า 231 รายการ มูลค่ากว่า 25,433 ล้านบาท หลังจากตัดครั้งแรก จำนวน 531 รายการ มูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท มีผลวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ระหว่างสหรัฐฯกับไทย และจะส่งผลให้การส่งออกไทยที่ติดลบและย่ำแย่อยู่แล้วย่ำแย่มากขึ้นไปอีก อีกทั้งวุฒิสภาสหรัฐฯยังได้ส่งหนังสือท้วงติงไทยในเรื่องการต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมที่ชุมนุมโดยสงบ ซึ่งไทยอาจจะโดนมาตรการด้านอื่นซ้ำเติมอีก อย่างเช่นข้อหาการปั่นค่าเงินบาท ซึ่งความจริงคือค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ามากทั้งที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่หนัก และการส่งออกติดลบ ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดและหลักปฏิบัติ น่าเป็นห่วงว่าประเทศไทยอาจจะโดนมาตรการลงโทษอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับ SMEs ส่งออกของไทยอย่างมาก

“ในภาวะผันผวนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องตั้งหลักคิดให้ดี หากยังบริหารจัดการไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก หรือฝืนกระแสโลก เศรษฐกิจไทยที่แย่อยู่แล้วจะไม่ฟื้น อีกทั้งธุรกิจ SMEs จะได้รับผลกระทบมากสุด อยากเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ มาสนใจช่วยเหลือธุรกิจ SMEs มากกว่าที่จะคิดช่วยเจ้าสัวอย่างเดียว เพราะหาก SMEs เจ๊งและปิดกิจการกันมาก จะเกิดการว่างงานมากและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้ยาก” นายกฤษฎา กล่าว