พรรคเพื่อไทย เสนอทางออก “รับมือโควิดอย่างไร ไม่ให้ประเทศพัง”

พรรคเพื่อไทย จัดฟอรั่มพิเศษ “รับมือโควิดอย่างไร ไม่ให้ประเทศพัง” ผ่านระบบ Zoom ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก พรรคเพื่อไทย โดยนายนพดล ปัทมะ ประธานคณะกรรมการนโยบายและวิชาการพรรคเพื่อไทย , นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี , นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีต รมว.พลังงาน และ ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคเพื่อไทย

โดยมีข้อเสนอชุดมาตรการรองรับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ดังนี้

ผลกระทบทางเศรษฐกิจของการระบาดของโควิด-19 ในระลอกใหม่นี้มีแนวโน้มจะมีจะรุนแรงทั้งในมิติลึกด้านความรุนแรง และมิติกว้างด้านจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ เนื่องจากผู้ได้รับผลกระทบจากระลอกที่ผ่านมาส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้นตัว จำนวนผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากเป็นทวีคูณและมีอัตราเร่งมากกว่าการติดเชื้อครั้งแรก การระบาดในระลอกนี้จะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ภาคเอกชน รวมถึงพี่น้องแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบอย่างยิ่งยวด พรรคเพื่อไทยโดยคณะกรรมการนโยบายและวิชาการพรรคเพื่อไทยเห็นถึงความสำคัญที่รัฐบาลต้องมีมาตรการรองรับ เยียวยา และรวมการป้องกันความเสียหายที่เหมาะสม แต่ปัจจุบันยังไม่มี จึงได้เสนอชุดมาตรการรองรับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ดังนี้

  1. กลุ่มแรงงานในและนอกระบบ
    1.1. กลุ่มแรงงานนอกระบบที่ไม่มีประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอิสระ ลูกจ้าง กลุ่มเปราะบาง และเกษตรกร (กลุ่มเดิมจากการเยียวยาครั้งก่อน) ให้ได้รับเงินสนับสนุนคนละ 15,000 บาท แบ่งจ่ายเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เท่ากับการเยียวยาให้ครั้งแรก) สำหรับนอกพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามประกาศของรัฐ และเงินสนับสนุนคนละ 18,000 บาท แบ่งจ่ายเดือนละ 6,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน สำหรับในพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามประกาศของรัฐ
    1.2. สำหรับแรงงานในระบบประกันสังคม ใช้มาตรการคงการจ้างงาน (Job Retention Scheme) โดยภาครัฐสนับสนุนค่าจ้างโดยตรงผ่านผู้ประกอบการ เพื่อดำรงการจ้างงาน โดยเอกชนที่รับการสนับสนุนคงการจ้างงานไม่น้อยกว่า 90% ของจำนวนแรงงานเดิม ทั้งนี้ภาครัฐสนับสนุนเป็นระบบขั้นบันไดตั้งแต่ 50-60% ตามโซนจังหวัดตามความรุนแรงของการระบาด เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่วนสิทธิ์อื่นตามประกันสังคมให้คงตามมาตรการของรัฐ
    1.3. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ สำหรับเอกชนที่สามารถจ้างงานเพิ่มกว่าจำนวนเดิม เพื่อสนับสนุนการจ้างงานเพิ่มเติมจากเอกชนที่มีกำลัง
    1.4. เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะมีผู้ตกงานจำนวนมาก เสนอให้จัดตั้งแพล็ตฟอร์มกลางเพื่อการจ้างงานในภาวะวิกฤติขนาดใหญ่ จับคู่ความต้องการ นายจ้าง-ลูกจ้างชนกันผ่านระบบ AI โดยไม่มีค่าใช้จ่ายทั้งสองฝ่าย
  2. กลุ่มผู้ประกอบการและ SMEs
    2.1. ใช้มาตรการทางการเงินที่ไม่ได้ใช้ในช่วงเวลาปกติ (Unconventional) ในการสร้างสภาพคล่อง โดยการตั้งกองทุนสินเชื่อเพื่อ SMEs ผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 1 ล้านล้านบาท โดยไม่ผ่านกลไกของสถาบันการเงินพาณิชย์
    2.2. แก้ไขข้อจำกัดและเงื่อนไขที่เข้มงวดของมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำตาม พรก. Soft Loan เช่น ไม่เป็น NPL วงเงินไม่เกิน 20% ของยอดสินเชื่อคงค้าง เป็นต้น
    2.3. ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐดำเนินมาตรการพักหนี้ผู้ประกอบการรวมถึงเกษตรกร ไม่ต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย และธนาคารหยุดคิดดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่วนธนาคารพาณิชย์ให้ภาครัฐชดเชยรายได้ดอกเบี้ยตลอดระยะเวลาการพักหนี้
  3. กลุ่มประชาชนทั่วไป
    3.1. มาตรการลดภาระของประชาชน อุดหนุนภาระดอกเบี้ย สำหรับผู้ที่ผ่อนยานพาหนะ ที่อยู่อาศัย ที่ได้รับผลกระทบเป็นระยะเวลา 6 เดือน
    3.2. ขยายระยะเวลายื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเดิมวันที่ 31 มีนาคม 2564 เป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2564
    3.3. ลดภาระประชาชนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ โดยภาครัฐสนับสนุนบางส่วน เป็นระยะเวลา 3 เดือน รวมถึงการลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาท/ลิตร
    3.4. มาตรการรองรับการเรียนออนไลน์ สนับสนุนค่าอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์มือถือหรือแท็บเล็ตสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน ดูแลการเข้าถึงอาหารกลางวันของนักเรียน
  4. มาตรการสร้างรายได้ กระจายโอกาส และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
    4.1. เร่งพัฒนาทุนมนุษย์ พลิกโฉมคุณภาพการศึกษาทุกมิติ เร่งสร้างแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ จัดหาอุปกรณ์ให้เด็กขาดแคลน จัดทำเนื้อหาหลักสูตรระดับโลก อีกทั้งเร่งสร้างและเพิ่มทักษะใหม่ให้คนทำงานและตกงานรองรับตลาดงานและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
    4.2. ลงทุนในระบบบริหารจัดการน้ำครบวงจรเพื่อเป็นมหาอำนาจผลิตอาหารปลอดภัย
    4.3. ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาในด้านอาหาร การแพทย์ พลังงานหมุนเวียน เศรษฐกิจดิจิทัลเพิ่มอย่างมีนัยยะสำคัญทันทีเพื่อไทยแข่งขันได้
    4.4. ส่งเสริมมาตรการหารายได้เข้ารัฐ ที่ไม่ใช่เพียงภาษี การลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มระบบราชการ การคลัง และระบบภาษีทั้งหมด เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ลดขนาดราชการ และป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงการใช้ระบบบล็อกเชน การแก้ไขระบบศุลกากร ปรับปรุงระบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
    4.5. ส่งเสริมและพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ของไทย เพื่อสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
    4.6. จัดระบบงบประมาณใหม่ โดยต้องเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ทบทวนงบประมาณที่ไม่จำเป็นและไม่ก่อให้เกิดการพัฒนา