คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เป็นห่วงประเทศไทยเข้าสู่สภาวะ “กบต้ม” ธุรกิจขนาดกลาง-เล็กจะล่มสลาย ประชาชนจะตกงาน เร่งรัฐแก้ไขด่วน

(8 กุมภาพันธ์ 2564) นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่ากังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทย หลังรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาผ่านบัตรคนจนวันแรก แต่ระบบแอพเป๋าตังกลับใช้งานไม่ได้ชั่วคราว เคยเตือนให้รัฐบาลเปลี่ยนวิธีมาจ่ายเงินสดก่อนระบบล่ม แต่รัฐบาลยืนยันไม่เปลี่ยน หนี้สาธารณะทะลุ 8.13 ล้านล้านบาท ลางบอกเหตุ เชื่อเหตุการณ์นำพาประชาชนคนไทยสู่สภาพกบต้ม คนตกงานล้น อาชญากรรมเกลื่อนเมือง แนะรัฐบาลปรับแผนรับมือก่อนคนจะออกมาไล่รัฐบาลแบบประชาชนพม่าบ้าง

นางสาวตรีชฎา กล่าวว่า ตามที่อัยการไม่ฟ้องนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจในคดี “กบต้ม” ตามที่ คสช. ส่งคนมาฟ้อง ซึ่งทฤษฎีกบต้มนี้ เป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่จริง โดยทฤษฎีอธิบายว่า ถ้าเอากบใส่เข้าไปในน้ำร้อน กบจะกระโดดออกทันที แต่ถ้านำกบใส่ในน้ำธรรมดาแล้วค่อยๆเร่งไฟ กบจะค่อยๆปรับตัวตามความร้อนและเมื่อน้ำเดือดกบก็ตายโดยไม่ได้ทันกระโดดออก ซึ่งเปรียบกับ ประเทศ หรือ บริษัท ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แต่ทนอยู่ไปเรื่อยๆ สุดท้าย ประเทศนั้นก็ต้องย่ำแย่ หรือ บริษัทนั้นก็ต้องแย่ไป ซึ่งเป็นคำเตือนที่นายพิชัย ได้เตือนไว้แล้วตั้งแต่ปี 2560 แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้า คสช. ในขณะนั้นไม่ยอมฟัง แถมยังส่งคนมาดำเนินคดีกับนายพิชัยเพราะกลัวความจริง แต่วันนี้สถานการณ์ประเทศในปัจจุบันยิ่งกว่าสภาวะกบต้มเสียอีก เพราะเศรษฐกิจไทยทรุดหนักมาก ปีนี้บอกว่าฟื้นก็ปรากฏว่าจะไม่ฟื้นได้มากอย่างที่คาดกัน โดยอาจจะฟื้นได้บ้างหรือไม่ฟื้นเลย คนจะลำบากกันอย่างมาก บริษัทห้างร้านจะปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก หลังจากที่ปิดไปแล้ว โดยล่าสุดมีโรงงานปิดเพิ่มขึ้นอีกแล้ว 716 แห่ง โรงงาน ทำคนตกงานร่วม 30,000 คน เงินลงทุนรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท และ ล่าสุดยังมีการปลดคนงานบริษัททำจิวเวอร์รี 2,600 คน ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์จะรับฟังคำเตือนของนายพิชัยและนำมาแก้ไขได้ทัน ประชาชนคงไม่เผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างที่เป็นอยู่นี้

นางสาวตรีชฎา กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งได้ฉายาว่า รัฐบาลจอมกู้เงิน รัฐบาลveryกู้ แต่เรื่องการหารายได้กลับทำไม่เป็น การกู้เงินทำหนี้พุ่ง แถมการเก็บภาษีก็ไม่ตรงเป้า รายได้กลับทรุดสวนทางหนี้ เก็บรายได้สุทธิ 5.15 แสนล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 3.99 หมื่นล้านบาท หรือ 7.2% แล้วยังต้องมาเจอพิษโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยปีที่ผ่านมาติดลบ 6-7% และมีทีท่าจะฉุดไม่อยู่ แจกเงินเยียวยาให้ประชาชนก็ถูกด่าทั้งประเทศไม่ว่าจะระลอกแรกระลอกสอง ยิ่งรอบสองใช้วิธีโอนผ่านบัตรผ่านแอปพลิเคชัน จนแอปพลิเคชันล่มทั้งประเทศ มุ่งหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจก็เจอโครงการทุจริตระหว่างทาง และยังไม่ยอมรับว่ามาจากฝีมือการบริหารงานเศรษฐกิจของรัฐบาล ยังไปโทษเศรษฐกิจโลกบวกโควิดเอาตัวรอดมาจนวันนี้ แต่พอหันไปดูหนี้สาธารณะล่าสุด ทะลุ 8.13 ล้านล้านบาท หรือ 52.13% ของจีดีพี และคาดจะทะลุ 9 ล้านล้าน และเงินกู้ พ.ร.ก.แก้ปัญหาโควิด-19 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่เหลือยังต้องกู้ในปีนี้อีก 5 แสนล้านบาท สิ่งที่ต้องระวังต่อคือ อาชญากรรมที่เกิดจากความอดอยากทำให้ประชาชนต้องอยู่อย่างหวาดระแวงและเป็นคนรับกรรมอีก

“สภาวะกบต้มที่เกิดกับประเทศที่ชัดเจนที่สุด คือ ประเทศเมียนมา เพราะหลังจากถูกทหารยึดอำนาจมานานเป็นสิบๆปี จากประเทศเมียนมาที่เคยมีศักยภาพกลับต้องถอยหลังสู่สภาพแย่ที่สุดในอาเซียน แต่พอเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยประเทศเมียนมาก็พัฒนาขึ้นมาเร็วได้ หนนี้เมื่อทหารเมียนปฏิวัติอีก ประชาชนเมียนมาจึงต้องออกมาประท้วงต้านเผด็จการทหารเพราะไม่อยากกลับไปอยู่อย่างเดิม ขณะที่ประชาชนไทยตอนนี้ก็คงได้รู้ซึ้งถึงความล้มเหลวของการบริหารประเทศของรัฐบาลทหารที่อยู่ยาว 6-7 ปีผ่านมาเป็นอย่างไรการพลาดจากเสือตัวที่ 5 มาเป็นแมวที่ 6 อาจถึงขีดสุดที่คนไทยต้องออกมาเรียกร้องไล่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ทั้งประเทศบ้างจะได้ไม่อายเมียนมา” นางสาวตรีชฎา กล่าวทิ้งท้าย