(11 กุมภาพันธ์ 2564) นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบ 2 ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างหนักหน่วง ในช่วงที่ผ่านมามีรายงานข่าวว่า หลายโรงงานอุตสาหกรรมไม่สามารถเปิดดำเนินการต่อไปได้ จำต้องปิดตัวลง บางโรงงานต้องลดกำลังการผลิต ลดจำนวนพนักงาน บางแห่งใช้วิธีควบรวมยุบย้ายโรงงาน ทั้งนี้พบว่า จากการรายงานตัวเลขโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยล่าสุด มีการแจ้งปิดโรงงานไปทั้งหมด 719 แห่ง ส่งผลให้มีแรงงานจำนวนเกือบ 3 หมื่นคน ตกงานทันที โดยประเภทกิจการที่มีการปิดสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์จากพืช ผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์อโลหะ

นายการุณ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมได้ส่งสัญญาณมายังรัฐบาลตั้งแต่ปี 2563 ว่าไปไม่รอดแน่นอน แต่รัฐบาลไม่เคยให้ความสำคัญจนสุดท้ายต้องปิดตัวลง นอกจากนี้การที่รัฐบาลขอสภาเพื่อกู้เงินไปช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม แต่ปรากฏว่าไปสร้างกำแพงและตั้งเงื่อนไขในการกู้เงินมากมาย ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้ รวมทั้งตนเองได้ยินคำครหาจากผู้ประกอบการว่าใครจะกู้ได้ต้องมีเส้น ต้องใช้ความสัมพันธ์ทางการเมืองจึงจะกู้เงินได้ ดังนั้นเงินกู้ 500,000 ล้านบาทจึงเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างอิทธิพลของรัฐบาลเท่านั้น

นายการุณ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพ และการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลกระทบอย่างหนัก นอกจากนี้มาตรการที่ออกมายังส่งผลกระทบให้พ่อค้าแม่ค้าตามพื้นที่ต่างๆ พื้นที่เศรษฐกิจในหลายจังหวัดไม่ต่างจากเมืองร้าง ในขณะเดียวกันพ่อค้า แม่ค้า ที่ค้าขายสินค้าเกษตรก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเพราะไม่มีนักท่องเที่ยว หรือ ไม่มีการเดินทางข้ามจังหวัด

“การแก้ปัญหาแบบไร้เดียงสาของรัฐบาล ส่งผลต่อความทุกข์ยากของประชาชน หนำซ้ำการเยียวยาที่รัฐบาลภูมิใจว่าได้ผล แต่คนหลายล้านคนกลับเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรที่ถูกรัฐบาลทอดทิ้ง ถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ยอมรับว่าแก้ปัญหาผิดและไม่เคยฟังคำทักท้วงหรือคำแนะนำจากฝ่ายค้าน ผลที่ออกมาคือประชาชนต้องยากจนข้นแค้น ตกงาน หนี้สินล้นพ้นตัว รายได้ไม่พอรายจ่าย น่าสงสารประชาชนทุกวันนี้ล้วงกระเป๋าแม้แต่เหรียญบาทยังไม่เจอ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะพ้นทุกข์จากรัฐบาลที่ไร้น้ำยาชุดนี้เสียที” นายการุณ กล่าวสรุป