“จุลพันธ์” ย้ำ ผู้นำเหลวไหล ประเทศไทยล้มเหลว ไม่ใช่ความบังเอิญแต่คือความผิดพลาดในการบริหารประเทศ
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล อภิปรายพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยนายจุลพันธ์ อภิปรายเริ่มต้นว่าเศรษฐกิจไทยจากที่เคยแข็งแกร่งเมื่อ 7 ปีก่อน แต่ปีนี้เราได้เห็นเศรษฐกิจไทยล้มเหลว ตกต่ำ ธุรกิจปิดตัวต่อเนื่อง คนตกงานสูงเป็นประวัติการณ์ มองไปทางไหนก็มีแต่ความสิ้นหวังเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ประเทศไทยจากที่เคยแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค แต่วันนี้ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กปิดตัว รากหญ้าเดือดร้อน ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องทยอยปลดคนงานออก เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญท้วงติง นายกฯ ก็ดื้อดึงและบริหารเศรษฐกิจแบบผิดพลาดต่อเนื่อง
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจประเทศไทยตกต่ำวันนี้ ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ แต่เพราะความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหาร พลเอกประยุทธ์ ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เอาแต่ขายฝันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้งที่มือไม่ถึง พลเอกประยุทธ์ ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่รู้เท่าทันโลกสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้จักการทำงานแบบวางแผน แต่ทำงานแบบลิงแก้แห ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ไม่รู้จักเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สนับสนุนภาคเอกชนไทย คิดแต่แรงงานขั้นต่ำราคาถูก ซึ่งไทยจะไม่สามารถพัฒนาเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงได้ทัดเทียมประเทศอื่นได้เพราะความไร้วิสัยทัศน์โดยแท้
ประการถัดมา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยเอาประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง เห็นจากนโยบายเยียวยาของรัฐ ที่เลือกใช้กระบวนการเยียวยาที่ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าแต่กระเป๋าเจ้าสัว เอกชนรายใหญ่ แต่สำหรับประชาชนต้องต่อคิวเข้าแถวลงทะเบียนได้เศษเงินจากรัฐ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีไม่เคยรับผิดชอบ ทำตัวเป็นนายกฯจอมโบ้ย คือชี้นิ้วโยนปัญหาทุกอย่างไปให้คนอื่น เช่น โทษประชาชน โทษรัฐบาลชุดก่อนหน้า และนี่ทีเด็ดเลย คือชี้นิ้วโบ้ยไปที่ท่านดร.ทักษิณ ชินวัตร นี่คือการโทษคนอื่นเป็นประจำ คือนิสัยนายกฯ
นายจุลพันธ์อภิปรายต่อว่า เมื่อเราได้ผู้นำที่ไร้ความรู้ความสามารถ ผลคือ ประเทศจน ประชาชนเจ็บ ตัวอย่างชัดเจนคือเมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด รัฐบาลใช้ยาแรงเกินขนาด คือประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศเกินความจำเป็น ทำลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจลงสิ้นเชิงจนคนไทยต้องฆ่าตัวตายรายวัน ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กทยอยปิดกิจการไปมากกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ และจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าผู้ตกงานและผู้เสมือนว่างงานรวมกันมากกว่า 6 ล้านคน ส่วนข้อมูลของธนาคารโลกก็ยืนยันว่าคนจนเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบ 30 ปี โดยแค่ปีล่าสุดมีคนยากจนเพิ่มขี้นกว่าปีที่แล้ว 1.5 ล้านคน และที่สุดแล้วคนไทยที่เดือดร้อนทั้งคนตกงาน ครอบครัวที่หัวหน้าครอบครัวตกงาน ลูกเมียพี่น้องพลอยได้รับผลกระทบรวมๆ ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน
ด้านภาคท่องเที่ยวของประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากรายได้ท่องเที่ยวที่เคยได้ปีละ 1.9 ล้านล้านบาทในปี 2562 แต่กลับหดตัวลงเหลือ 3 แสนล้านบาทในปี 2563 มาตรการโควิดด้านการท่องเที่ยวก็ล้มเหลว สื่อสารผิดพลาด รัฐตอบไม่ได้จะล็อกดาวน์หรือไม่ จะต้องกักตัวไหม ไปลงทะเบียนเดินทางอย่างไร สุดท้ายธุรกิจท่องเที่ยวพังพินาศ ต้องปิดกิจการ ลดการจ้างงาน ไม่มีมาตรการเยียวยาปล่อยให้ธุรกิจท่องเที่ยวเหี่ยวเฉาแห้งตายไปอย่างอำมหิต
ด้านการสนับสนุนธุรกิจสร้างสรรค์ หรือ creative economy ที่สร้างบรรยากาศส่งเสริมสนับสนุนสตาร์ทอัพ แต่รัฐกลับไม่เคยเข้าใจธุรกิจประเภทนี้ ไม่เคยสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ๆ แต่รัฐบาลไทยกลับอุ้มชูบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่มีเครือข่ายธุรกิจกว้างขวางทั้งที่เขาได้แต้มต่อทางธุรกิจมหาศาลอยู่แล้ว อีกทั้งกฎหมายสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ ไม่ได้รับการส่งเสริม มีแต่กฏหมายควบคุมปิดปาก เท่ากับส่งเสริมความเหลื่อมล้ำทางธุรกิจมากขึ้น
ด้านโครงสร้างภาษี รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลสูงสุดในรอบ 10 ปี ทั้งที่น้ำมันดีเซลคือน้ำมันจำเป็นสำหรับรถกระบะ โรงงานอุตสาหกรรม ปั้มน้ำสูบเข้าเรือกสวนไร่นา คนจนต้องใช้น้ำมันดีเซลแต่ถูกเก็บภาษีเฉลี่ยลิตรละ 5.99 บาทต่อลิตร รัฐเก็บภาษีน้ำมันดีเซลสำหรับคนจนอย่างแพง แต่กลับกำลังพิจารณาลดภาษีบุคคลธรรมดาลง 10 เปอร์เซ็นต์ คนรวยได้ประโยชน์ แล้วคนไทย 65 ล้านคนอยู่ตรงไหน เอื้อคนรวยแต่ขูดรีดคนจนให้เหลื่อมล้ำไปทุกที
ด้านเศรษฐกิจ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยได้ทดลองคำนวณความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยใช้แบบจำลอง Econometric แบบ Arima เปรียบเทียบเศรษฐกิจบนสมมุติฐานว่าหากมีปฏิวัติกับไม่มีปฏิวัติ เศรษฐกิจไทยจะไปทิศทางใดนั้น จากการศึกษาพบว่า การรัฐประหารปี 2557 จนถึงปีปัจจุบัน เศรษฐกิจประเทศชาติเสียหายจากการบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ มากกว่า 4 ล้านล้านบาท และจากความเสียหายนี้จะกลายเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจ เป็นโอกาสที่หลุดลอยไปจากคนไทย
“จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นว่า เศรษฐกิจไทยเข้าขั้นโคมาจากความไม่รู้ ไร้ความสามารถ ของพลเอกประยุทธ์ ประเทศไทยไม่ได้เดินหน้าเลยในช่วง 7 ปี เราไม่เดินหน้าแต่เพื่อนบ้านเราเดินไม่หยุดจึงเท่ากับเราถอยหลัง ไม่ว่าจะ ไทยชนะ หมอชนะ หรือเราชนะ เป็นแค่ชัยชนะและความร่ำรวยของพลเอกประยุทธ์และพวกพ้องเท่านั้น แต่คนไทยไม่ได้ชนะเลย และด้วยอนาคตที่มองไปอย่างมืดมิด ไม่เห็นแสงสว่าง จึงไม่อาจไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป” นายจุลพันธ์ กล่าว