(17 กุมภาพันธ์ 2564) นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย อภิปรายญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า สิ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันสถานะทางเศรษฐกิจคือตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจบิดเบือน แต่สามารถบอกถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวได้ ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย สำรวจอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ พบว่าประเทศไทยจะมีการเจริญเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ จีดีพี ต่ำที่สุด คือ – 8 เปอร์เซ็นต์ ต่ำที่สุดในอาเซียน และธนาคารโลกประเมินว่าจีดีพีประเทศไทยจะ -8.3 เปอร์เซ็นต์ และใช้เวลาฟื้นฟูประเทศให้เหมือนก่อนมีโควิดอย่างน้อย 3 ปี ส่วนสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ปรับลดจีดีพี ปี 2564 ลงมาเหลือแค่ 2.5-3.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ผมไม่เชื่อเพราะเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทย ตั้งแต่การส่งออก การท่องเที่ยว การใช้จ่ายภายในประเทศ และการลงทุนภาครัฐหรือแม้แต่เอกชน ยังอยู่ในภาวะถดถอยหรือ “ดับสนิท” ทุกตัว จึงเชื่อว่าตัวเลขจีดีพีไม่น่าจะเติบโตดังพยากรณ์ดังกล่าว
นายไชยา กล่าวต่อว่า เมื่อมองย้อนกลับไปดูการจัดงบประมาณย้อนหลังไปสิบปี พบว่า ทุกรัฐบาลล้วนต่างเคยกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณมาทั้งสิ้น แต่ในยุครัฐบาลประชาธิปไตย กู้ในจำนวนน้อยและลดลง แต่เมื่อหลังรัฐประหารปี 2557 กู้เงินมาชดเชยตั้งแต่ปีละ 2 แสนล้านจนถึงปีปัจจุบันกู้เงินสูงถึงปีละ 6-7 แสนล้านบาท รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ กู้เงินมาใช้ในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ใดๆที่จับต้องได้ และถ้าดูการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีต่อเนื่องมา 6 ปี นับคร่าวๆ น่าจะใช้งบประมาณไปแล้วไม่ต่ำกว่า 21 ล้านล้านบาท บวกเงินกู้อีก 1 ล้านบาทรวม 22 ล้านบาท แต่ผลที่ออกมาตรงกันข้ามย่ำแย่กว่าเดิม ไม่ประสบผลสำเร็จแต่ล้มเหลว