“ประเดิมชัย” ลุยต่อ ยื่น ป.ป.ช.เอาผิด ขบวนการโกงเตาเผาขยะฉาว จับพิรุธ “คสช.-มท.-กทม.” ออกคำสั่ง-แก้กฎหมาย เอื้อเอกชน

นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า กรณีที่ได้มีการอภิปรายถึงความผิดปกติโครงการประกวดราคาจ้างเหมาเอกชนกำจัด มูลฝอยโดยระบบเตาเผามูลฝอยขนาดไม่น้อยกว่า 1,000 ตันต่อวัน ที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขมและอ่อนนุช ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งสร้างความเสียหายมากกว่า 4,380 ล้านบาทนั้นพบว่ามีการใช้กลไกทางกฎหมายในการวางแผนการทุจริตอย่างเป็นระบบและแยบยล มาตั้งแต่สมัย คสช. เกี่ยวพันเชื่อมโยงทั้งผู้มีอำนาจใน คสช., กระทรวงมหาดไทย ซึ่งนำโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ กทม.ที่มี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก คสช.เป็นผู้ว่าฯ กทม. ในปัจจุบัน

นายประเดิมชัย กล่าวต่อว่า กรณีนี้ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติของการออกคำสั่ง คสช. เพื่อเอื้อให้มีการแก้ไขกฎหมายและยกเว้นกฎหมายบางฉบับสำหรับดำเนินการโครงการนี้ รวมไปถึงกระทรวงมหาดไทย ก็ได้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องและออกคำสั่งซึ่งทำให้เกิดปัญหาในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งต่อมาเมื่อมีการดำเนินโครงการโดย กทม. ทำให้มีการกำหนดทีโออาร์ให้เกณฑ์คะแนนการพิจารณาผู้ชนะการประมูลอย่างผิดปกติ แตกต่างจากการดำเนินโครงการลักษณะเดียวกันที่อื่นๆ ทำให้บริษัทที่เสนอราคาต่ำไม่ได้รับการพิจารณาแต่ผู้ชนะการประมูลกลับเป็นผู้ที่เสนอราคาสูงถึง 789 บาทต่อตันโดย กทม.ไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ คืนตลอดอายุโครงการ 20 ปี ขณะที่การดำเนินโครงการลักษณะเดียวกันที่เทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช มีค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะเฉลี่ยเพียง 404 บาทต่อตัน ตลอดอายุโครงการ 20 ปีแล้วยังมีผลตอบแทนคืนให้รัฐอีกร้อยละ 20 ของรายได้สุทธิด้วย

นอกจากนี้ในการดำเนินโครงการกำจัดขยะโดยระบบเตาเผาของจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น รัฐจะเป็นผู้ให้เอกชนเช่าที่ดินสำหรับดำเนินโครงการ 50 ไร่ ในอัตรา 100,000 บาทต่อไร่ต่อปีและจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ทุกๆ 5 ปี แต่ กทม.กลับมอบที่ดินให้เอกชนดำเนินโครงการโดยไม่เก็บค่าเช่าใดๆ ส่งผลให้รัฐเสียโอกาสในส่วนนี้ไปอีกด้วย อีกทั้งยังพบความเชื่อมโยงของบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมเสนอราคาให้กับ กทม. โดยพบว่าหลายบริษัทมีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน บางบริษัทมีที่ตั้งเดียวกันและบางแห่งมีกรรมการบริษัทที่เป็นคนกลุ่มเดียวกันอีกด้วย

“ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ตนในฐานะติดตามตรวจสอบเรื่องนี้มาโดยตลอด จึงจะนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดยื่นเรื่องให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้มีการตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส ไม่ให้มีการใช้อำนาจและกลไกทางกฎหมายร่วมกันทำให้เกิดทุจริตอย่างเป็นระบบและแยบยล รวมทั้งเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตและสร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนในครั้งนี้ทั้งหมด” นายประเดิมชัย กล่าว