พรรคเพื่อไทย ชี้ 8 ประเด็นเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลต้องมองให้ออก มิเช่นนั้นจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้
(26 กุมภาพันธ์ 2564) นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ สส. หนองคาย อดีตรองเลขาสภาอุตสาหกรรม และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไปแล้ว แม้ฝ่ายค้านจะสามารถชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล และ ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้กับรัฐบาลอย่างมาก แต่รัฐบาลก็อาศัยเสียงข้างมากลากไป แม้จะฝืนใจประชาชนส่วนใหญ่ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจากผลโพลที่สำรวจมา แต่เหมือนสวรรค์มีตาการเปลี่ยนแปลงก็จะต้องเกิดขึ้นจากการที่ศาลมีคำตัดสินในคดีของพวก กปปส. แต่ก็คงคาดหวังการเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มาก เพราะปัญหาน่าจะมาจากผู้นำคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ขาดความรู้ความสามารถและขาดความเข้าใจแม้กระทั่งหลักการทางเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น จึงคาดหวังยากว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น
แม้แต่เรื่องวัคซีน รัฐบาลเพิ่งจะได้วัคซีน 200,000 โดส โดยไม่ได้บอกกำหนดการว่าที่เหลือทั้งหมดจะได้เมื่อไหร่ จะฉีดให้ประชาชนได้ครบทั้งประเทศเมื่อไหร่ ยิ่งกระจายการฉีดวัคซีนช้าก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจฟื้นช้า ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านได้รับวัคซีนกันหมดแล้ว และมีตารางกำหนดการการกระจายการฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั้งหมดของเขาแน่นอน ซึ่งพลเอกประยุทธ์ดูเหมือนจะไม่เข้าใจ จนกระทั่งประชาชนและนักธุรกิจบ่นกันมาก ทำให้นักธุรกิจถอดใจเหมือนพลเอกประยุทธ์ไม่เข้าใจปัจจัยที่จะฟื้นเศรษฐกิจได้เลย
ทั้งนี้นอกจากพลเอกประยุทธ์จะไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจและไม่เข้าใจหลักการทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ตอบอภิปรายไม่ไว้วางใจทางเศรษฐกิจก็พูดเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ไม่ได้แสดงว่าจะเข้าใจเลย หลังจากอภิปรายและรู้ว่าแย่แล้ว พลเอกประยุทธ์ยังได้ส่งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายก และ รมว. พลังงาน ออกมาตอบมั่วๆ 8 ข้อ สร้างความขบขันให้คนที่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ และ ยิ่งทำให้ เครดิตของรัฐบาลทรุดต่ำลงไปอีก ดังนั้น คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย จึงอยากให้ความจริงดังนี้
- เศรษฐกิจไทยปี 2563 ติดลบ 6.1% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 22 ปีที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจไทยโตต่ำมาตลอด 6 ปีแล้ว ทั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นกลับมาแข็งแรงอีกครั้งได้เมื่อไหร่และอย่างไร เพราะปีนี้ก็จะฟื้นตัวได้ต่ำมาก รัฐบาลควรหาทางให้ฟื้นเร็วมากกว่าจะมาแก้ตัวมั่วๆ
- การว่างงานของไทยพุ่งสูงขึ้นมากและยังมีแนวโน้มที่พุ่งสูงขึ้นไปอีก จากบริษัท SMEs ที่กำลังจะปิดตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การว่างงานไทยยังมีการว่างงานแฝงที่คนตกงาน หันกลับบ้านไปทำงานในภาคเกษตรแต่ผลผลิตไม่ได้เพิ่มขึ้น แค่ไปเพื่อไม่ให้อดตายเท่านั้น อีกทั้งการวัดการว่างงานของไทยยังบิดเบือน ปัญหาการว่างงานจะเป็นปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
- ความเชื่อถือของไทยลดต่ำมาตลอด ตั้งแต่หลังการปฏิวัติ การลงทุนจากต่างประเทศได้หายไป 90% จากการรายงานของสื่อหลักต่างชาติและยังไม่ฟื้นเลยหลังจากนั้น นอกจากนี้สื่อหลักต่างประเทศยังคงถล่มไทยตลอดตั้งแต่ตอนก่อนและหลังการเลือกตั้ง อีกทั้ง 5 ทูต คือ สหรัฐ อังกฤษ เยอรมัน ออสเตรเลีย และ ญี่ปุ่น ยังออกมาตำหนิการบริหารของรัฐบาล และ สหรัฐยังติดจีเอสพีไทยถึง 2 ครั้ง รวมถึงยูเอ็น และ องค์กรระหว่างประเทศก็ตำหนิ แถมล่าสุดยังมีการต้อนรับตัวแทนของเผด็จการทหารพม่าที่กำลังเป็นที่น่ารังเกียจกันทั่วโลกในประเทศไทย ซึ่งทำให้ความเชื่อถือและความมั่นใจของไทยหดหายหมด
- รัฐบาลยิ่งกว่า Very กู้ ตามฉายาที่สื่อมวลชนตั้งให้ ซึ่งไม่รู้พลเอกประยุทธ์จะแก้ตัวไปทำไม รัฐบาลใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 22 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะของไทยพุ่งสูงกว่า 8 ล้านล้าน และจะทะลุเกิน 9 ล้านล้านในปีนี้ และน่าจะทะลุเกิน 60% ของจีดีพี ปัญหาไม่ใข่แค่การกู้แต่อยู่ที่การใช้เงินกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กู้มามากแต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจโตได้ ทั้งนี้เพราะใช้เงินผิดประเภท กู้ไปแจกมั่วบ้าง กู้ไปซื้ออาวุธบ้าง งบทางทหารเพิ่มมากกว่าจีดีพี เศรษฐกิจจึงไม่โต นั่นคือปัญหา ซึ่งหากรัฐบาลนำเงินไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศตามโครงการพัฒนาเดิม เช่น ทำรถไฟความเร็วสูงถึงหนองคายและเชื่อมต่อไปจีน ป่านนี้เศรษฐกิจจะพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกมาก
- หนี้ครัวเรือนไทยปลายปี 2563 อยู่ที่ 86.6% ซึ่งสูงสุดตั้งแต่เคยมีมา และปีนี้หนี้ครัวเรือนจะทะลุเกิน 90% อย่างแน่นอน เนื่องจากจีดีพีของไทยที่ติดลบ แต่หนี้ครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสูงสุดตั้งแต่เคยมีมา และ เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ขนาดสภาพัฒน์ฯเองยังกังวลเรื่องหนี้ครัวเรือนนี้ และออกมาเตือนว่าจะพุ่งสูง แต่รัฐบาลกลับเถียงแบบไม่รู้เรื่อง ซึ่งทำให้รัฐบาลนี้ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้เลย วิธีแก้ไขคือการเพิ่มจีดีพีและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ซึ่งพลเอกประยุทธ์ทำไม่เป็นและทำไม่ได้ ที่ทำได้ก็คือการแก้ตัวแบบมั่วๆ
- หนี้เสียในภาคครัวเรือน และ หนี้เสียในภาคธุรกิจจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ซึ่งหากมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นสูง ย่อมส่งผลต่อสถานะของธนาคารพาณิชย์ แม้ในปัจจุบันยังดูเหมือนธนาคารพาณิชย์ยังควบคุมได้ แต่ไนอนาคตไม่แน่ เพราะในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้ไล่บี้ลูกหนี้อย่างจริงจัง เพราะหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นขึ้นมาได้ แต่ถ้าเศรษฐกิจฟื้นช้า จากปัจจัยความล่าช้าของวัคซีน หนี้เสียจะทะลุขึ้นสูงและธนาคารพาณิชย์อาจจะเสียหายถึงขั้นต้องให้แบงค์ชาติเข้าช่วยได้ ซึ่งเชื่อว่าทุกธนาคารพาณิชย์ทราบดีแต่คงไม่กล้าพูด เพราะกลัวประชาชนจะตกใจ
- ธุรกิจ SMEs จำนวนมากในปัจจุบันอยู่ในสภาพย่ำแย่ เหมือนอยู่ในห้อง ICU พร้อมที่จะปิดเป็นจำนวนมาก และกำลังรอคอยความช่วยเหลือและซอฟท์โลนจากรัฐบาล อีกทั้ง หวังว่าวัคซีนจะมีการกระจายการฉีดอย่างทั่วถึงเร็ว ไม่ใช่มาแค่ 200,000 โดส แล้วมาดีใจ ดังนั้นหากรัฐบาลยังบริหารย่ำแย่อย่างในปัจจุบัน ธุรกิจ SMEs จะเจ๊งกันอีกเป็นจำนวนมาก และแม้กระทั่งธุรกิจของเจ้าสัวก็อาจจะเจ๊งตามไปด้วย
- ความเหลื่อมล้ำของไทยขึ้นอันดับ 1 จากการจัดอันดับของต่างประเทศที่มีหลักการแน่นอนไม่ได้มั่วขึ้นมาเพื่อโจมตี ซึ่งก่อนหน้านี้ไทยอยู่อันดับ 3 แต่ก่อนปฏิวัติไทยอยู่อันดับ 12 โดยปัจจุบันพบว่าประชาชน 1% มีทรัพย์สินถึง 66.9% ซึ่งเหลือมล้ำที่สุดในโลก การที่จะแก้ตัวยกเรื่องอื่นมามั่ว น่าจะสร้างความอับอายมากกว่า
นี่เป็นความจริง 8 ข้อ ซึ่งตรงข้ามกับที่นายสุพัฒนพงษ์พยายามดำน้ำอธิบาย ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ และ นายสุพัฒนพงษ์ ยังมั่นใจว่า 8 ข้อของตัวเองถูกต้อง ก็อยากมาให้ถกกันในเวทีสาธารณะกับคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย และถ่ายทอดสดผ่านทุกช่องทาง เพื่อประชาชนจะได้ทราบเหตุผลและความจริง เพราะทุกวันนี้ประชาชนลำบากกันอย่างมาก ไม่อยากให้พลเอกประยุทธ์เอาแต่แก้ตัวแต่ไม่แก้ไข ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์จะต้องเรียนรู้ในการมองเศรษฐกิจภาพใหญ่ให้ออก มิเช่นนั้นจะไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และจะย่ำแย่แบบนี้ไปอีกเรื่อยๆ เพราะผู้นำที่ขาดองค์ความรู้และด้อยความสามารถ ซึ่งถ้ารู้ตัวก็ควรจะต้องเสียสละลาออกเพื่อชาติและประชาขนเหมือนที่พูดเสมอได้แล้ว โดยเฉพาะปัจจุบันสถานะการณ์ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองจะยิ่งเสื่อมถอยลงไปอีก