พรรคเพื่อไทย ถอดบทเรียนอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ประเสริฐ-จิราพร” เผยเทคนิคเก็บข้อมูล ขยายปมขยี้รัฐบาล

(28 กุมภาพันธ์ 2564) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ร่วมถอดรหัสอภิปรายไม่ไว้วางใจ เบื้องหลังการซักฟอกรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ครั้งที่ใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะประเด็นสัญญาอัปยศถุงมือยางและการชำแหละค่าโง่เหมือนทองอัครา ซึ่งจัดโดยทีม THINK คิด เพื่อ ไทย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564

โดยนายประเสริฐ เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทย มีหลักในการเลือกประเด็นที่จะใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือ 1. เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนเสียหาย 2.มีการทุจริตที่สามารถนำไปสู่การดำเนินคดีได้ 3. มีการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องอย่างชัดเจน และ 4.มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายกับประชาชน ภายใต้หลักคิดหลักของพรรคเพื่อไทย คือ เสียงของประชาชนสำคัญกว่ามือในสภา ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าหลักคิดของพรรคเพื่อไทยถูกต้อง เพราะหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้เกิดอาฟเตอร์ช็อค ทำให้ฝ่ายรัฐบาลเกิดเสียงแตกในการโหวต

กรณีถุงมือยางอัปยศนั้นเริ่มระแคะระคายตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย แล้วมีพ่อค้ากลุ่มหนึ่งพยายามไล่ซื้อถุงมือยางจำนวนมาก กว่า 500 ล้านกล่อง ทั้งที่กำลังการผลิตของประเทศไทยมีเพียงแค่ 200 ล้านกล่องต่อปี จึงติดตามเรื่องนี้ก็พบว่าองค์การคลังสินค้า (อคส.) เองมีความต้องการถุงมือยางจำนวนมากเพื่อส่งไปขายในต่างประเทศ จึงแปลกใจว่าในประเทศก็ขาดแคลนกลับจะมีการส่งออกไปขายในต่างประเทศ เมื่อตรวจสอบก็พบการสร้างความต้องการลวงว่ามีผู้สั่งซื้อถุงมือยางจำนวนมากแล้วมีการเบิกเงิน อคส.ออกไปกว่า 2,000 ล้านบาทแล้วโดยที่ยังไม่ได้เลย จึงมองว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้น ซึ่งน่าสนใจว่ากรณีนี้มีมูลค่าสัญญามากกว่าหนึ่งแสนล้านบาท แต่ปรากฎว่าประชาชนได้รับรู้เลยและมีกระบวนการทำให้เรื่องนี้เงียบมากๆ

เมื่อพบความผิดปกติ ก็จัดหาข้อมูลจากทั้งข้อมูลเปิดทั่วไป คือจากคณะกรรมาธิการของสภาที่เป็นข้อมูลสาธารณะที่เปิดเผยได้ และข้อมูลลับที่เปิดเผยไม่ได้ ซึ่งได้มายากมากและใช้เวลามากกว่า 6 เดือน ในการแกะรอย และเมื่อได้ข้อมูลมาก็เก็บเป็นความลับ จากนั้นก็รีเช็คว่าข้อมูลไม่ผิดและเก็บไว้จนถึงวันอภิปราย โดยไม่เปิดเผยกับใครเพื่อไม่ให้ข่าวรั่วไหล ซึ่งหลังจากอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วก็จะมีการดำเนินการยื่นเรื่องต่อหน่วยงานต่างๆ เพื่อเอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย

ขณะที่ น.ส.จิราพร เปิดเผยว่า กรณีเหมืองทองอัครานั้นมีการเก็บข้อมูลมานานนับปี แต่ถือว่าครั้งนี้ข้อมูลที่มีนั้นสมบูรณ์ที่สุด จึงมีการตรวจสอบข้อมูลเป็นอย่างดี และเชื่อมั่นว่ามีเอกสารหลักฐานมากพอ ทั้งเอกสารระหว่างประเทศ เอกสารลับและลับมาก จำนวนมาก และแม้เรื่องนี้จะไม่มีใบเสร็จของการทุจริตอย่างชัดเจน แต่ที่ผ่านมามีการใช้งบประมาณแผ่นดินในการสู้คดีไปแล้วกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งไม่ยุติธรรมกับคนไทย เพราะมีคนใช้อำนาจ ม.44 มีเพียงคนเดียว คือ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปิดเผยเรื่องนี้ให้คนไทยได้รู้ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้คนไทยและเรียกร้องความรับผิดชอบจาก พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนจะมีความเสียหายเกิดขึ้นกับผลประโยขน์ประเทศชาติไปมากกว่านี้

ในการอภิปรายเราจะเน้นที่จะไม่ก้าวล่วงการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอาจไปทำให้ฝ่ายรัฐบาลใช้เป็นช่องว่างในการเอาตัวรอด แต่จะเน้นที่การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับบริษัทคิงส์เกต ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความลับ เพราะเป็นเรื่องของราชอาณาจักรไทยกับเอกชน ซึ่งมีผลประโยชน์ของชาติเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลจะปฏิเสธการชี้แจงต่อประชาชนไม่ได้

หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้หารือกับพรรคเพื่อไทยถึงแนวคิดการเปิดช่องทางในการรับข้อมูลจากประชาชนเกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆ ในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะเชื่อว่าคนไทยไม่ควรเสียภาษีเพื่อถูกใช้ไปเป็นค่าโง่แบบนี้อีก ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ไม่เพียงเฉพาะพรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ เพราะความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของภาคประชาชน และภาคประชาสังคมอีกจำนวนมากที่ได้ประสานงานกันทั้งเรื่องเนื้อหาและข้อมูล หลังจากนี้ก็จะต้องช่วยกันผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เอาอำนาจ ม.44 ออกจากระบบกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้อำนาจมิชอบต่างๆ ได้อีก

ด้าน นายคณาพจน์ โจมฤทธิ์ ผู้อำนวยการทีมคิดเพื่อไทย กล่าวว่า โครงการ The Change Maker เป็นการเปิดพื้นที่สร้างทางเลือกใหม่ให้ประชาชนในการแสดงออกความคิดทางการเมือง และนำความคิดนั้นมาแปลงเป็นนโยบายที่สามารถปฏิบัติได้จริง ซึ่งการเมืองไทยวันนี้จะต้องดิสรัป และจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก ดังนั้นเราจึงมาร่วมกันถอดบทเรียนการอภิปรายไม่ไว้วางใจใน 2 ประเด็นนี้และต่อไปก็จะมีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์เช่นนี้อีก

ในช่วงท้ายของกิจกรรมผู้ร่วมงานกว่า 100 คนได้ร่วมเวิร์กช็อปกระบวนการออกแบบนโยบายจากทีม THINK คิด เพื่อ ไทย ซึ่งได้รับความสนในจากผู้ร่วมงานอย่างมาก ซึ่งนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริเดช ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร เปิดเผยถึงแนวคิดการจัดทำนโยบายของพรรคไทยรักไทยว่า นโยบายของพรรคไทยรักไทยจัดทำโดยเริ่มจากการรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่มาของนโยบายต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จในอดีต