“พิชัย” เปิด 3 กับดักเศรษฐกิจหลังการแก้รัฐธรรมนูญ 60 ถูกคว่ำ ทำประเทศเสี่ยงล่มสลาย

(26 มีนาคม 2564) พรรคเพื่อไทยจัดเสวนา “วิกฤตเศรษฐกิจ หลังรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ ประเทศไทยจะไปต่ออย่างไร ?” โดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก หลังกระบวนการที่นำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 ถูกคว่ำโดยรัฐบาล แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มองว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นปัญหาต่อประเทศ ทั้งที่ในความเป็นจริงการไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้ประเทศเสื่อมลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่วิกฤตอยู่แล้วยิ่งวิกฤตหนักขึ้น เพราะขาดผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ

นายพิชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การที่ประเทศไทยยังต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 จะทำให้ประเทศไทยติดกับดักเศรษฐกิจ 3 ด้าน ได้แก่

คนไทยจะไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารประเทศ เพราะรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจกับสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่แต่งตั้งโดย คสช.โหวตเลือกนายกฯได้ พลเอกประยุทธ์ มีหลักคิดการบริหารที่ผิดมาโดยตลอด กู้เงินมาใช้มากกว่าลงทุนและยังใช้จ่ายไม่คุ้มค่า ทั้งที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ออกมาเตือนแล้วว่าการจัดสรรงบประมาณปี 2565 ที่มีงบลงทุนต่ำกว่าเงินกู้ชดเชยงบประมาณแบบขาดดุล (เงินกู้) นั้นมีความเสี่ยงสูง หากการเงินรัฐบาลล้ม อาจทำให้ประเทศล่มสลายได้ นอกจากนี้เมื่อเปิดดูการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 พบว่าลดลงจากปี 2564 ที่ 5.66% (ลดลง 1.8 แสนล้านบาท) ซึ่งในความเป็นจริงการจัดทำงบประมาณต้องไม่ลดลงจากปีก่อนหน้า แต่รัฐบาลสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้แต่กลับไม่ดำเนินการ เช่น งบประมาณความมั่นคงที่ซ่อนอยู่ ทั้งนี้ รัฐบาลต้องการเพียงรักษาความนิยมให้คงอยู่ด้วยการแจกเงิน แต่ไม่ลงทุนให้เกิดความเชื่อมั่น การลงทุนจึงน้อยลงและผลตอบแทนการลงทุนในประเทศลดลงตามไปด้วย ทำให้เงินทุนไหลออกไปยังต่างประเทศ ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า กระทบต่อผู้นำเข้าสินค้าทุนและเครื่องจักรซึ่งทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น

การมีอยู่ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้ประเทศไทยขาดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถด้านเศรษฐกิจมาแก้ไขปัญหาปากท้องของคนไทย โดยหลังจากที่พลเอกประยุทธ์ ปลดนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออก ได้แต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีความรู้ความสามารถด้านการเงินการคลังมารับตำแหน่งแทน ทั้งที่ขณะนี้โครงสร้างเงินออมของไทยกำลังมีปัญหา เพราะมีเพียงเศรษฐีที่มีเงินในโครงสร้างเงินออมสูง แต่ประชาชนส่วนใหญ่มีหนี้สินสูง ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาในอนาคต การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดทำให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ทำไปเพื่อรักษาสมดุลในพรรคเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาประเทศ

ประเทศไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นจากต่างชาติกลับมาได้ นับตั้งแต่การที่พลเอกประยุทธ์ เข้าหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของเมียนมา หรือการส่งข้าวสารให้กับเมียนมาท่ามกลางสถานการณ์รัฐประหารที่มีความรุนแรงเข่นฆ่าประชาชนด้วยกระสุนจริง มีการเผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก หลายประเทศทยอยคว่ำบาตรเมียนมา ส่วนอินโดนีเซียและมาเลเซียประณามการกระทำรุนแรงในเมียนมา แต่ผู้นำไทยกลับกระทำการที่สวนทางนานาชาติ จึงมีความกังวลว่าประเทศไทยอาจจะถูกคว่ำบาตรในอนาคตด้วย ประเทศไทยจะสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันทางการค้าลง จนในที่สุดจะทำการค้ากับต่างประเทศไม่ได้ จึงขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคมกดดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ต่อไป เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

ขณะที่นายวิโรจน์ อาลี นักวิชาการอิสระ กล่าวว่าเศรษฐกิจประเทศขณะนี้ จะเห็นว่าเจ้าสัวที่ใกล้ชิดรัฐบาลมีรายได้สูงขึ้นในขณะที่หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น จึงกังวลเรื่องทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว การส่งออกไม่ประสบความสำเร็จ การลงทุนไม่ได้รับการตอบสนองจากต่างชาติ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการพัฒนาแรงงานมารองรับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปสินค้าต่างๆ ที่มีแนวโน้มเข้าสู่ระบบเทคโนโลยี หรือ ที่เรียกว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งหากยังทำเพื่อรักษาอำนาจให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เศรษฐกิจไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แน่นอน