“ชวลิต” ชี้คำพูด “อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด” ไม่ควรออกจากปากผู้นำประทศ ส่งผลเสียต่อขวัญกำลังใจประชาชนและแพทย์พยาบาลอย่างมาก

(8 เมษายน 2564) นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทยให้ความเห็นกรณี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศระเบิดอารมณ์ “อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด” กรณีตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการระบาดรอบใหม่ของไวรัสโควิด – 19 นั้น นายชวลิตกล่าวว่าในสถานการณ์ที่อ่อนไหวสุ่มเสี่ยงต่อความแตกตื่นของประชาชน นายกรัฐมนตรีควรมีวุฒิภาวะควบคุมอารมณ์ต่อการแสดงความเห็นในการแก้ปัญหาของประเทศมากกว่านี้ เพราะคำพูดดังกล่าวตีความไปได้ว่า “ให้เป็นไปตามเวร ตามกรรม” ซึ่งกระทบกับความเชื่อมั่นของประเทศที่มีน้อยอยู่แล้วให้น้อยลงไปอีก หนทางที่นายกรัฐมนตรีควรจะทำเฉพาะหน้าก็คือ หยุดการแพร่ระบาดตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เฉพาะอย่างยิ่งไวรัสที่ตรวจพบที่ “ทองหล่อ” ซึ่งเป็นคลัสเตอร์อยู่ในปัจจุบัน เป็นไวรัสสายพันธ์อังกฤษซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้รายงานต่อสาธารณะว่ามีคุณสมบัติแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธ์เดิมหลายเท่า และที่สำคัญไม่แสดงอาการในระยะแรกให้ผู้รับเชื้อได้สังเกตอาการของตนเอง


ดังนั้น การระงับยับยั้งการแพร่ระบาดตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างทันการณ์และมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นในลำดับแรก ซึ่งไม่มีใครทราบดีกว่าบุคลากรอาวุโสทางด้านสาธารณสุข ในขณะเดียวกันมาตรการที่เข้มงวดก็สวนทางกับความต้องการเพิ่มรายได้ทางด้านการท่องเที่ยวเพื่อสร้างเงินหมุนเวียนในชุมชนในสังคมการบริหารจัดการที่เหมาะสม ผมคิดว่าสังคมไม่อยากเห็นการจัดการกับผู้ประกอบการร้านอาหารโดยทั่วไปแบบเหวี่ยงแห แต่ควรมีมาตรการที่เข้มข้นกับผู้ประกอบการของผู้มีอภิสิทธิ์ชนที่เปิด ร้านอาหารหรูบังหน้า แต่มีบริการด้านอื่นที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่โควิดแอบแฝงอยู่ข้างหลัง ดังที่เป็นข่าวฉาวโฉ่อยู่ในปัจจุบันร้านอาหารโดยทั่วไปควรได้รับการดูแล ไม่ควรได้รับผลกระทบใด ๆ ซ้ำเติมทางด้านเศรษฐกิจอีก
และถ้าไม่จำเป็นใด ๆ นายกรัฐมนตรีควรให้ ศบค.แถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องโควิด ซึ่งถ้าเป็นเรื่องสำคัญในระดับนโยบายก็ควรให้คณะแพทย์อาวุโสเป็นผู้แถลงข่าวหรือให้ข่าวต่อสาธารณชนเพื่อป้องกันความสับสนที่ออกจากปากนายกรัฐมนตรีเอง