นายแพทย์พรหมินทร์ แนะใช้ความรู้การแพทย์และสาธารณสุข ชี้นำการจัดการควบคุมโรคระบาดโควิด-19

(13 เมษายน 2564) นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟสบุ๊ก Prommin Lertsuridej เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 แนะนำให้รัฐเลิกตระหนก ตั้งสติ และใช้ความรู้ด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการบริหารจัดการวิกฤตโควิดในการระบาดระลอก 3 นี้อย่างมีสติ โดยมีข้อความดังนี้

ใช้ความรู้การแพทย์และสาธารณสุข ชี้นำการจัดการควบคุม COVID 19 ได้แล้ว

รายงานการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่เป็นไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เกิดขึ้นในเทศกาลสงกรานต์ที่รัฐบาลประกาศวันหยุดราชการหวังให้คนเดินทาง จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นกระตุ้นเศรษฐกิจตามวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย ความท้าทายต่อการจัดการของภาครัฐที่ถนัดใช้มาตรการกฎหมายบังคับใช้กับประชาชน แต่มักยกเวันการปฏิบัติกับอภิสิทธิ์ชน และพวกใช้กลไกราชการหาประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นเรื่องที่น่าตรวจสอบอย่างเข้มงวด

ข้อเท็จจริงหลายประการที่ต้องนำมาพิจารณา

  1. พัฒนาการของโรค ด้วยเชื้อ COVID-19 เป็นไวรัส ที่โดยธรรมชาติ มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอด จึงมีปัญหาที่การให้ยาและ การให้วัคซีนรักษาและป้องกัน จึงไม่อาจเป็นมาตรการเด็ดขาด แต่ต้องอาศัยภูมิต้านทานร่างกายกำจัดโรคด้วย อีกด้านหนึ่ง เชื้อโรคสายพันธุ์ดุร้ายที่คร่าชีวิตผู้ป่วยที่อ่อนแอก็ตายไปพร้อมผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ดังนั้นเชื้อที่แพร่ขยายต่อจึงแพร่ในกลุ่มคนที่สุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเชื้อมีแนวโน้มรุนแรงน้อยลง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ติดเชื้อ อาจไม่รู้ตัวเลย เพราะไม่มีอาการ หรือมีการอาการทางเดินหายใจเล็กน้อย แล้วหายไปเอง นี่เป็นสาเหตุใหญ่ของการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในปริมาณมากใน”จุดอ่อนเปราะ” ที่มีคนรวมกันมากๆ แต่การป้องกันน้อย เช่นสถานบันเทิง บ่อนการพนัน สนามมวย และที่พักคนงานที่แออัด เป็นต้น แต่ในอีกด้านหนึ่งคนอัตราป่วยตายน้อยลงมากเช่นกัน เพราะการระวังตัวมากขึ้น ความรู้ทางการแพทย์ และประสบการณ์ดูแลรักษาดีขึ้นมาก
  2. ข้อมูลอัตราการติดเชื้อ จำแนกแยกแยะว่า ไม่มีอาการ เจ็บป่วยเล็กน้อย แยกจากป่วยมาก และอัตราการตาย “ที่เปลี่ยนแปลงตามห้วงเวลา” ทำให้ผู้รับผิดชอบต้องติดตามเข้าใจแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ความรุนแรงและการระบาดของโรค มากำหนดวางแผนล่วงหน้าได้ดี
  3. พัฒนาการของการผลิตวัคซีน นานาชนิดที่เร่งค้นคว้าและผลิตออก ล้วนมีข้อดี ข้อจำกัดเรื่องประสิทธิภาพ ข้อบ่งชี้ และกรรมการวิธีการผลิต แม้กระทั่งกรรมวิธีการขนส่งและเก็บรักษา การปิดกั้นกำจัดทางเลือกให้ประชาชนอยู่กับวัคซีนเฉพาะชนิดย่อมไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะกับธรรมชาติของการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วของโรค ในอีกด้านหนึ่งการวิจัยของคนไทยในทุกๆการวิจัยที่มีศักยภาพก็ต้องมีการเหลียวแลสนับสนุนอย่างเหมาะสม เพราะงบประมาณก็เคยเตรียมไว้ 5 หมื่นล้านบาท แต่ใช้ไปหมื่นกว่าล้านบาท ควรเจียดการใช้ส่งเสริมการวิจัยที่คนไทยมีศักยภาพอย่างเหมาะสม ดีกว่าการผันไปเป็นงบแจกระลอกแล้ว ระลอกเล่า
  4. ระยะนี้ ด้วยความตระหนกของประชาชนต่อการระบาดระลอกใหม่ การขอ”ตรวจเชื้อจากผู้สงสัย”จึงเป็นเรื่องจำเป็น จากการบริการจากภาครัฐและเอกชน ย่อมต้องเสริมกัน รัฐต้อง”เร่งขจัดข้อจำกัดของรัฐเอง”ที่มีต่อภาคเอกชนโดยด่วน เพื่อเอกชนจะเร่งแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่รัฐที่จำกัดลงเพื่อประโยชน์ของประชาชน
  5. ในอีกด้านหนึ่งคือ Rapid test kit การพัฒนาการตรวจเชื้อที่ให้ผลแม่นยำ ให้ผลเร็ว ราคาถูก ที่”ไม่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญตรวจ” เป็นเรื่องจำเป็นมาก ๆ สามารถขจัดความสงสัย จำกัดการควบคุมโรคได้แม่นยำไม่ต้องเหวี่ยงแห และลดระยะเวลา กักกันโรค (Quarantine ) ลงเท่าที่จำเป็นจริงๆ ที่หลายประเทศก็ให้ความใส่ใจจัดหาไว้แล้ว เช่นอังกฤษ ได้สั่งซื้อไว้ใช้จากผู้ผลิต อย่างต่ำ 2 ราย ในขณะที่ดูเหมือนคณะวิจัยไทยก็ทำสำเร็จเบื้องต้น พิมพ์เผยแพร่บทความในวารสารชั้นนำของโลก https://www.nature.com/articles/s41551-020-00603-x ตั้งแต่สิงหาคม ปีที่แล้ว ไม่ทราบว่าได้รับการสนับสนุนเพียงใด
  6. การจัดการภาวะวิกฤตจาก COVID-19 ของรัฐผ่านมา กว่า 1 ปี น่าจะผ่านพ้นภาวะ ‘ช็อค SHOCK “ หรือ “ตระหนก” ได้แล้ว ตั้งสติ นำพาประเทศ ด้วยความรู้วิทยาการ บูรณาการ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งที่ มีอำนาจเบ็ดเสร็จจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อำนาจรวมศูนย์ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพและประสิทธิภาพ ทั้งจากการตระเตรียมงบประมาณ ที่น่าจะเพียงพอ ทั้งจากประสบการณ์การจัดการของแต่ละพื้นที่ ที่มีระยะเวลากว่า 1 ปี ที่น่าเพียงพอที่จะพัฒนาปรับตัวพ้นความโกลาหลโดยไม่จำเป็น แต่วันนี้ยังมีการส่งเสริมให้คนเดินทางกลับบ้านหรือท่องเที่ยว ผสมกับการระงับจำกัดการท่องเที่ยวด้วยหน่วยงานของรัฐต่างหน่วย ต่างเขตกัน สร้างเกณฑ์ที่ปฏิบัติได้จริงบ้างไม่จริงบ้างขึ้นอีก หวังว่าหน่วยงานของรัฐ”โดยเฉพาะฝ่ายนโยบาย”ไม่นิ่งนอนใจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิดตลอดวันหยุดราขการยาวนี้ด้วย
  7. เทคโนโลยีด้านข้อมูล พัฒนาจนถึง real time หวังว่าหน่วยงานของรัฐเร่งพัฒนาฐานข้อมูลการตรวจ การติดเชื้อ การสัมผัส สถานการณ์ของโรค การวิเคราะห์ที่ทันการณ์ เพื่อประโยชน์การให้บริการ การประสานงาน การสื่อสารกับประชาชน ทั้งข่าวสาร ข้อมูล ทั้งช่องทาง online การสื่อสารข่าวสารอื่นๆ สร้างความรับรู้ที่ถูกต้อง ความมั่นใจ ให้ผ่านพ้นวิกฤตได้
  8. “ดับไฟแต่ต้นลม” มาตรการ เยียวยาจะเป็นมาตรการสุดท้าย ที่อาจจะถูกลดทอนจากการจัดการควบคุมโรคที่ดีในระยะนี้

ขอคนไทยทุกคน พ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ด้วยมาตรการของรัฐที่แก้ปัญหาบรรเทาทุกข์ของประชาชนให้ตรงจุด และ”ที่สำคัญป้องกันตัวเองด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย” หลีกเลี่ยงการเข้าที่ชุมชนแออัด หมั่นล้างมือ หรือล้างแอลกอฮอล หลังออกไปสัมผัสสิ่งต่างๆ ภายนอก