“อนุสรณ์” สอน “เสกสกล” ให้รู้จักคบหา “บัณฑิต” อย่ามัวแต่หูหนวกตาบอด

(21 เมษายน 2564) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ออกมาพาดพิง ดร.ทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วูดซัม ที่พูดผ่าน คลับเฮาส์ ระบุว่า นายกฯคนปัจจุบันเป็นข้าราชการทหารมาทั้งชีวิต อยู่กับการสั่งการเป็นส่วนใหญ่ เป็นนักใช้งบประมาณมากกว่าเป็นนักหารายได้เพื่อมาอุดหนุนงบประมาณ จึงไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ เมื่อไม่เข้าใจจึงต้องหาทีมงานที่เข้าใจเรื่องนี้มาพูดให้เขาฟัง แล้วให้เขาไปสั่งการอีกที การเอาทหารมาทำเรื่องเศรษฐกิจนั้นไม่ได้หรอก ว่า ประชาชนที่ใจเป็นธรรมสัมผัสได้ว่าดร.ทักษิณ มีความห่วงใยและปรารถนาดีต่อประเทศชาติและประชาชน โดยมิได้หวังผลทางการเมืองแต่อย่างใด นายเสกสกล บอกว่าทั่วโลกประสบกับวิกฤตโควิด และยังมาเจอวัคซีนขาดแคลนนั้น ไม่ตรงกับสภาพปัญหาที่แท้จริง หลายประเทศทั่วโลกฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้กับประชาชนของตนเองในสัดส่วนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ประเทศไทยฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้เพียงแค่ 0.73% อยู่ในอันดับที่ 127 ของโลก ล้าหลังกว่า กัมพูชา และ เมียนมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ประเทศไทยมีวัคซีนในมือมากที่สุดในเอเชีย ในเวลาต่อมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คายฟันยางสารภาพว่า วิเคราะห์ผิดคิดว่าแก้ไขปัญหาโควิดได้ดี เลยสั่งวัคซีนเข้ามาน้อย พอจะมาสั่งอีกทีก็ไม่สามารถสั่งได้ เพราะไม่มีการเตรียมการวางแผนล่วงหน้า พล.อ.ประยุทธ์ วางแผนให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้ แต่แผนการจัดหาวัคซีนเฉพาะหน้าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง นายเสกสกล อย่ามาหาเรื่องตอบโต้เฉพาะดร.ทักษิณเพียงคนเดียว เพราะมีประชาชนหลายฝ่ายออกมาเสนอแนะ ขนาด 40 CEO ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ยังประเมินว่ารัฐบาลจัดหาวัคซีนโควิด-19 ล่าช้า ไม่ทันการ ควรเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชน เดินหน้ากู้เศรษฐกิจไทยรอดพ้นวิกฤติโควิด หรือ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานเครือซีพี ก็ทนไม่ไหว รับไม่ได้เหมือนกัน เห็นว่ารัฐล้มเหลวในการจัดหาวัคซีน ล่าช้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชน ทำอย่างไรจะส่งเสริมและสนับสนุนเอกชนให้นำเข้าวัคซีนต้านโควิด อย่างน้อยก็ให้แต่ละบริษัทสามารถนำเข้าวัคซีนเข้ามาดูแลพนักงานของบริษัท หรือลูกค้าของตัวเองได้ ซึ่งจะแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐบาลอีกทางหนึ่ง เหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ของชาติ สร้างความวิตกไปทุกภาคส่วน ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ภาวะวิกฤตแบบนี้ รัฐบาลควรเปิดหูเปิดตาเปิดใจให้กว้าง รับฟังข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน มากกว่าทำตัวหูหนวกตาบอดจิตใจมืดบอดไม่ฟังใครแบบนี้ ส่วนรับฟังแล้วจะรับไปดำเนินการแก้ไขหรือไม่ ก็เป็นสิทธิของรัฐบาล แต่ไม่ควรไปห้ามใครพูดหรือห้ามเสนอแนะทางออกซึ่งเป็นทางรอดของวิกฤต ในอดีตพล.อ.ประยุทธ์ เคยเขียนจดหมายขอให้เจ้าสัวช่วยหาทางออก นายเสกสกล เป็นอะไรมากมั้ย ถึงทำตัวย้อนแย้งเกะกะระรานกับผู้ที่มีความปรารถนาดีเช่นนี้ คนพาลกับบัณฑิตนั้นมีความต่างกันอยู่ตรงที่ ใจ ลักษณะของคนพาลคือ มีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง เป็นพวกชอบการจับผิดและมองไม่เห็นความปรารถนาดีของผู้อื่น ส่วนลักษณะของบัณฑิตจะมีการแก้ไขปรับปรุงตนเองเป็นกำลัง

“ถ้ารัฐบาลบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ได้ดี คงไม่มีใครออกมาเสนอแนะแนวทางมากมายขนาดนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะมาตำหนิด่าทอผู้ที่มีความปรารถนาดีรัฐบาลควรเปิดหูเปิดตาเปิดใจให้กว้าง รับฟังข้อเสนอแนะ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนดีกว่า” นายอนุสรณ์ กล่าว