“นิยม” ติง สำนักงานพระพุทธฯ ทำตามใบสั่งการเมือง ไม่ยึดพระธรรมวินัย แบบนี้พระเณร อยู่ยาก
(6 พฤษภาคม 2564) นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่าตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เผยแพร่ มติมหาเถรสมาคม ที่ 360/2564 เรื่องที่พระมหาสมปอง ตาลปุตโต แสดงความคิดเห็นการป้องกันโควิด 19 กระทบกระทั่งรัฐบาล ไม่ใช่กิจของสงฆ์นั้น เป็นเพียงการแสดงความเห็นเพื่อให้สติรัฐบาล อาจจะออกแนวขบขันบ้าง ก็เป็นเพียงบุคลิกของท่านเท่านั้น ไม่ควรถือเป็นจริงเป็นจัง จนถึงขนาดต้องออกเป็นมติ มส. เพื่อให้พระสังฆาธิการดำเนินการเอาผิดกับท่าน ปรากฎตามมติดังกล่าวแล้ว
นายนิยม กล่าวต่อว่า ตนได้เห็นนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์โดยสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการนำเข้าสู่การประชุมมหาเถระสมาคม เพื่อเอาผิดพระมหาสมปอง อย่างรีบเร่ง ตนต้องถามรัฐมนตรีอนุชา ว่า การที่พระแสดงความคิดเห็นในการกระทำของรัฐบาลที่ล้มเลวจริงๆ มันไม่ชอบมาพากล จะไม่ให้ท่านพูดบ้างเลยเหรอ เมื่อนายกประยุทธ์ แก้ปัญหาโควิด 19 ไม่ได้ พระก็เป็นคนไทย ไม่ให้แตะต้องเลยหรือ เงินเยียวยาพระรูปละ 60 บาท ข้ามมาสองรัฐมนตรีแล้ว พระก็ยังไม่ได้รับ พูดจาหลอกล่อท่านไปเรื่อย ท่านก็เสียภาษีเหมือนกันกับคนอื่น ทำไมพูดติติงไม่ได้ ทีพระบางรูปที่ยกย่องรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องการเมืองรึ ทำไมรัฐมนตรีอนุชา ไม่สั่งให้สำนักพุทธ นำเข้ามหาเถรสมาคม หรือพวกยกย่องพูดได้ ไม่เป็นการเมือง พวกติติงพูดไม่ได้ เป็นการเมือง ผมเห็นพระ 3 รูป ออกมาพูดตำหนินายกประยุทธ์ แก้ปัญหาโควิด 19 ล้มเหลว คือ ท่านเจ้าประสาน และท่านเจ้าคุณพิพิธฯ วัดสุทัศน์ โดนทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่พูดความจริง พระท่านก็มีความรู้ เรียนจบระดับ ดร. ทำไมวิจารณ์การบริหารบ้านเมืองไม่ได้ ขอให้รัฐมนตรีอนุชา ทบทวนบทบาทตัวเองเสียก่อน หรือว่า เขาตั้งมาเพื่อจับผิดพระ หรือมาเพื่อเตรียมจับพระสึกเท่านั้น ระวังนะเวลาตายจะไม่มีพระมาสวดศพให้ เปิดสภาผู้แทนราษฎรมาต้องเจอกัน
นายนิยม กล่าวด้วยว่า ตนขอฝากไปถึงสำนักพุทธและมหาเถรสมาคม ทั้ง 2 หน่วยงาน ขอให้ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก พระพุทธเจ้าตรัสมาแล้ว 2600 ปี เป็นที่พึ่งของพระภิกษุ สามเณร และพุทธศาสนิกชน พระมหาเถรสมาคม ต้องเป็นหลักและเป็นที่พึ่งของพระภิกษุสามเณร ไม่ใช่ทำตามใบสั่งของฝ่ายการเมือง จะออกมติมาสั่งใครสึกตามอำเภอใจก็ได้ วันนี้ มส. คิดจะออกมติให้พระรูปไหนสึกก็ได้ แบบมติเงินทอนวัดไม่ได้แล้ว อำนาจที่ พรบ. สงฆ์ให้มหาเถรมาปกครองพระภิกษุสามเณรตาม มาตรา 15 ตรี หากใช้ผิดอำนาจ ไม่อยู่ในขอบเขตพระวินัย มันมีผลทางกฎหมาย อย่าลืมว่า มส. ก็เป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย หากมีใครไปฟ้องร้อง มส. ขึ้นมา จะเกิดปัญหาใหญ่ ถ้ามหาเถรใช้กฎหมายตามอำเภอใจ ไม่นึกถึงธรรมนึกถึงวินัยแบบนี้ พระภิกษุ สามเณร อยู่ยากแน่ การแก้ปัญหาคณะสงฆ์จะไม่คิดใช้หลัก นิคคหกรรมเลยเหรอ ขอให้ท่านย้อนไปอ่าน พรบ. สงฆ์ มาตรา 24 และ 25 และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11/2521 บ้าง ยังไม่ยกเลิก ยังมีผลทางกฎหมาย และท่านก็เป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามมาตรา 45 ทำไปทำมาผมเกรงว่า มติ มส. ที่สำนักพุทธชงให้มหาเถรตามฝ่ายการเมืองจะกลับมาผูกคอ มส. เอง รัฐบาลต้องใจกว้าง ประชาชนรวมทั้งพระภิกษุสามเณร เดือดร้อน ทุกหย่อมหญ้า ให้เขาพูดบ้าง
เมื่อก่อนไม่เคยมีใครฟ้องร้อง 157 มส.
ที่ไม่เคยมีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าพระเณรถูกกดดัน ถูกบีบคั้นมากๆ เข้า ต่อไปก็ไม่แน่ มส. ก็อาจจะถูกฟ้องร้อง 157 ก็เป็นได้ ถึงตอนนั้น ผมก็ไม่รู้ว่า คณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไร ก็ได้แต่ปลงเวทนา ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา มันจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับชาวพุทธ