“พิชัย” ห่วง เศรษฐกิจไทยทรุดหนักหลังไตรมาสแรกติดลบ 2.6% เตือน “ประยุทธ์” เตรียมรับมือปัญหาการเงินการคลัง มิเช่นนั้นเศรษฐกิจไม่มีทางฟื้น

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกยังคงติดลบหนักที่ -2.6 % ซ้ำเติมจากไตรมาสแรกปีที่แล้วที่ติดลบที่ -1.8% และเป็นการติดลบ 5 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศอื่นฟื้นกันแล้ว เช่น จีน ไตรมาสแรกพุ่งกระฉูดถึง 18.3% ทั้งที่เศรษฐกิจจีนปีที่แล้วทั้งปีเป็นบวกขยายตัวได้ 2.3% เวียดนาม ไตรมาสแรกพุ่ง 4.48% และปีที่แล้วเศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวทั้งปีได้ 2.91% สิงคโปร์ไตรมาสแรกก็ขยายตัว 0.2% ในขณะที่ไทยปีที่แล้วติดลบหนักที่ -6.1% และไตรมาสแรกก็ยังคงติดลบหนักอีก ซึ่งแสดงถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของพลเอกประยุทธ์ แสดงถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยที่สะสมมาตลอด 7 ปี และไม่มีทางเลยที่ประเทศไทยจะฟื้นเศรษฐกิจได้ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงการบริหารประเทศ

หากจำกันได้ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงานได้โม้ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 4% โดยนายสุพัฒนพงษ์ถึงกลับกล้าบอกว่าตนเองมีข้อมูลมั่นใจมาก และผมเองได้ทักท้วงแล้วว่าเป็นไปไม่ได้เพราะเศรษฐกิจไตรมาสแรกจะแย่ ซึ่งก็แย่จริงๆ และแย่ก่อนที่จะมีการระบาดรอบที่ 3 ด้วยซ้ำ ซึ่งตอกย้ำการขาดความรู้ความเข้าใจของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งหมด ซึ่งจะยิ่งยืนยันว่าความรู้และหลักคิดที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริงแบบนี้ จะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจของไทยได้เลย

ทั้งนี้อยากจะขอเตือนพลเอกประยุทธ์ว่า การที่เศรษฐกิจไทยทรุดต่ำลง จะยิ่งทำให้ประเทศไทยมีปัญหาทางการเงินและการคลังมากขึ้น การจัดเก็บรายได้จะยิ่งลดลง ซึ่งจะทำให้การดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะจะยิ่งเพิ่มขึ้น อีกทั้งหนี้ภาคครัวเรือนที่พุ่งเกิน 90% จะยิ่งพุ่งขึ้นไปอีก ธุรกิจจะเจ๊งและปิดกิจการมากขึ้น หนี้เสียธนาคารจะมากขึ้น จะมีการตกงานเพิ่มขึ้น และที่น่ากังวลคือ ภาวะเงินเฟ้อในโลกเริ่มสูงขึ้นจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อในไทยน่าจะสูงขึ้นด้วยเพราะเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเปิด ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่กำลังย่ำแย่สวนทางเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะฟื้น

ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยเสื่อมถอยอย่างหนัก และการระบาดของไวรัสโควิดในไทยก็ยังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ถึง 9,635 คน โดยเป็นผู้ติดเชื้อในเรือนจำถึง 6, 853 คนนี้ พลเอกประยุทธ์ จะต้องตั้งหลักคิดให้ดีและคิดล่วงหน้า มิเช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะไม่มีทางฟื้นได้เลย ดังนั้นจึงอยากเสนอแนวทางที่ควรดำเนินการเร่งด่วนให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันดังนี้

  1. เร่งการกระจายการฉีดวัคซีนอย่างเป็นรูปธรรม ต้องวางแผนการฉีดวันละ 5แสน – 1 ล้านโดสอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ได้คำนวณการฟื้นของเศรษฐกิจไทย แม้พลเอกประยุทธ์จะผิดพลาดไปแล้วและยอมรับเองว่าที่บริหารวัคซีนล้มเหลวเพราะคิดว่าที่สั่งวัคซีนน้อยเพราะเห็นติดเชื้อน้อย แต่เมื่อคิดได้แล้วก็ต้องเร่งจัดการการกระจายการฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบ เพราะการจะกระจายการฉีดวัคซีนวันละ 5 แสนโดส ถึง 1 ล้านโดส ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องปฏิบัติการเชิงรุก ไม่ใช่ต้องรอคนมาลงทะเบียน การจะออกรางวัลเหมือนถูกลอตเตอรี่เหมือนที่ต่างประเทศเขาทำกันและอาจจะถูกจริตกับคนไทย ก็น่าจะพิจารณา ทั้งนี้และทั้งนั้น พลเอกประยุทธ์ จะต้องทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าวัคซีนที่กระจายฉีดให้กับประชาชนต้องมีคุณภาพที่ดี มีความน่าเชื่อถือ และ มีผลข้างเคียงในจำนวนประชากรที่น้อยมาก อีกทั้งจะสามารถป้องกันเชื้อโควิดที่กลายพันธุ์ได้ และประชาชนจะต้องมีวัคซีนทางเลือก
  2. การสร้างความมั่นใจ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยหลังจากการระบาดของไวรัสโควิดจะยังสามารถฟื้นได้เพราะปัจจุบันประชาชนหมดความหวังแล้ว เศรษฐกิจไตรมาสแรกที่ติดลบหนักที่ -2.6 % แสดงให้เห็นชัดเจนว่า โครงการแจกเงินต่างๆ ไม่ว่าไทยชนะ เราชนะ ฯลฯ ที่รัฐบาลโม้มาตลอด แต่ความจริงคือไม่สามารถจะฟื้นเศรษฐกิจได้ แถมยังเพิ่มหนี้สาธารณะให้กับประเทศมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะเป็นความจำเป็นที่จะช่วยประชาชนที่ลำบากจากภาวะวิกฤติการณ์ไวรัส ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีแนวคิดอื่นๆในการฟื้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมด้วย ไม่ใช่คิดแต่จะแจกเงินอย่างเดียวเพื่อประคองความนิยม แต่เศรษฐกิจไทยกลับเสื่อมถอยลงตลอด
  3. เร่งเจรจาการค้ากับประเทศหลักที่สำคัญ ที่ไทยทำไม่ได้ และ ไม่ได้ทำมากว่า 7 ปีแล้ว เช่น เจรจาเขตการค้าเสรีกับ อียู สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เป็นต้น โดยต้องพิจารณาว่าไทยจะได้ประโยชน์อย่างไร เมื่อเทียบกับเรื่องที่จะต้องเสียไป อย่ามุ่งแค่ CPTPP ที่ไทยน่าจะเสียมากกว่าได้ ทั้งนี้ ถ้าหากประเทศหลักไม่ยอมเจรจากับไทยเพราะปัญหาของผู้นำและความไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ก็ต้องพิจารณาเปลี่ยนผู้นำและเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้
  4. การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งปัจจุบันปัญหาเผด็จการทหารในประเทศเมียนมาร์ที่เข่นฆ่าประชาชนชาวเมียนมาร์เป็นจำนวนมาก และเป็นที่รังเกียจของประชาคมโลก ซึ่งไทยควรจะแสดงจุดยืนต่อต้านเผด็จการทหารที่ฆ่าประชาชน แต่กลับมีสื่อหลักของประเทศญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชีย เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ ยังติดต่อกับ มินอ่องลาย ในด้านลับ ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของไทยย่ำแย่ลงมาก เพราะก่อนหน้านี้ พลเอกประยุทธ์ พบตัวแทนเผด็จการทหารเมียนมาร์ และมีการเปิดด่านส่งข้าวให้ทหารเมียนมาร์ แต่แทนที่พลเอกประยุทธ์จะปฏิเสธหรือชี้แจง กลับส่งรัฐมนตรีออกมาข่มขู่ญี่ปุ่นว่าจะกระทบความสัมพันธ์ ยิ่งแสดงความเป็นเผด็จการของไทยที่ข่มขู่สื่อมวลชนในประเทศจนเคยชิน และนึกว่าสื่อหลักต่างประเทศจะกลัว อีกทั้งไทยเองควรจะต้องเอาใจประเทศญี่ปุ่นที่เคยเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งมาตลอด แต่ได้โยกย้ายการค้าการลงทุนไปประเทศอื่นหลังการปฏิวัติ แต่นี่กลับไปข่มขู่เขา การค้าการลงทุนจะยิ่งหายไป ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ ควรจะต้องแก้ไขในเรื่องนี้
    นี่เป็น 4 เรื่องเร่งด่วนที่พลเอกประยุทธ์ จะต้องพัฒนาวิธีคิดและเร่งแก้ไข ก่อนเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ลงไปอีก ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องพิจารณาและวางแผน โดยพลเอกประยุทธ์จะต้องหัดคิดและคาดการณ์ล่วงหน้า และเร่งดำเนินการก่อนมีปัญหา ซึ่งหากคิดไม่ทันและคอยแต่จะตามแก้ปัญหาเหมือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยจะไม่มีทางฟื้น ประเทศไทยจะยิ่งล้าหลังไปเรื่อยๆ ประชาชนจะมีแต่ความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น