“เพื่อไทย” ห่วง “ประยุทธ์” สร้างหนี้ล้น ลูกหลานลำบาก ชี้ ไม่เปลี่ยนผู้นำประเทศลงเหว

(25 พฤษภาคม 2564) นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า 7 ปีของการเป็นนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มาพร้อมกับฉายาดีแต่กู้ ไม่ใช่เวลาจะมาอวดหรือมาโชว์ผลงานรัฐบาล แต่ต้องขอสำนึกจากรัฐบาลที่ยังไม่ออกมารับผิดชอบต่อชีวิตคนไทยทั้งประเทศ ที่ปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญกับโรคโควิด-19 โดยไม่ได้วางแผนรับมือปกป้องชีวิตประชาชน ไม่จัดวัคซีนให้ทันต่อสถานการณ์ รัฐบาลต้องรับผิดชอบ แต่วันนี้เรากลับเจอรัฐบาลที่ไม่รับผิดชอบ เสียดายโอกาสประเทศ มีหนี้หัวโตมองไม่เห็นอนาคตลูกหลาน

“ขอเวลาอีกไม่นาน เปิดเพลงให้ประชาชนฟังมา 7 ปี ไม่นานถึงขนาดคนจนจะหมดประเทศท่านและคณะก็ยังอยู่ จนเปลี่ยนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล มาเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ต่อด้วยนายปรีดี ดาวฉาย และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ คนปัจจุบัน แต่ท่านไม่ไว้ใจใคร กุมบังเหียนคุมเศรษฐกิจเอง คนไทยสำลักความสุขเป็นหนี้กันถ้วนหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้งบประมาณประเทศเกือบ 21 ล้านล้านบาท แต่ขับเคลื่อนประเทศได้เพียง 3 ล้านล้านบาท มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย หนี้สาธารณะทะยานสูง งบประมาณปี 2564 ใช้ไปไม่คุ้มค่า กู้เงินมา 1 ล้านล้าน ที่ให้เหตุผลว่า กู้มาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนในช่วงวิกฤติโควิด-19 แต่กลับไม่ครอบคลุม ไม่มีการวางแผนรับสถานการณ์ ใช้วิธีแจกเงินแบบไร้ทิศทาง ไม่ทันความเดือดร้อนของประชาชน ต้องถูกด่าก่อนจึงจะแจก และนี่ยังจะมาลักหลับด้วยการออก พ.ร.ก.เงินกู้ 7 แสนล้านโดยไม่ผ่านกลไกสภาฯ ทำเหมือนสมัยยึดอำนาจที่ไม่ต้องรอการตรวจสอบ ถึงขั้นที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องไปยื่นศาลปกครองให้เพิกถอนการออกพ.ร.ก.กู้เงิน เพราะเชื่อว่าเป็นกลไกเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ นี่หรือคือผลงานที่คนในรัฐบาลออกมาชื่นชมว่าผลงานรัฐบาลตลอด 7 ปีดีเยี่ยม ยอดเยี่ยมตรงไหนมีแต่ยอดแย่ ถ้าได้รางวัลคงได้เพียงรางวัลบู้บี้เท่านั้น

“สมัยนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำการปราบปรามยาเสพติด มาเป็นวาระแห่งชาติ ทำทุกนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ทำได้จริง ขึ้นเงินเดือนผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท, พักหนี้เกษตรกรรายย่อย, เงินเพิ่มกองทุนหมู่บ้าน, ตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท, ขยายกองทุนพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน หรือเอสเอ็มแอล ทำได้หมด พอตัดภาพมาที่ยุคพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่ยุคคสช.มาทำอะไรได้บ้าง สิ่งที่ทำได้คือ ยึดอำนาจและดำเนินคดีนางสาวยิ่งลักษณ์ ยึดทรัพย์ จนศาลปกครองกลางสั่งยกเลิกคำสั่งให้ ‘ยิ่งลักษณ์’ ชดใช้ 35,000 ล้านบาท-เลิกอายัดทรัพย์ คดีจำนำข้าว ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรจากรัฐบาล ณ ปัจจุบัน

“วันนี้สิ่งที่คนไทยต้องเสียคือเสียโอกาส จากเดินนำต้องมาเดินหลังสุดเพราะปฏิวัติ ไม่มีใครคบค้าสมาคม มีปัญหาค้าขายไม่ได้ ผู้นำกู้เก่งแต่หาเงินไม่เก่ง หนี้ท่วม ถึงขั้นที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ออกแรงเตือนว่าการกู้เงินเพิ่มอีกถึง 7 แสนล้านบาทจะยิ่งทำให้หนี้สาธารณะพุ่งทะลุเกิน 9 ล้านล้านบาท และหนี้จะทะลุเกิน 60% ของจีดีพี เพราะการเก็บรายได้ในปีนี้จะขาดมากกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้สถานะทางการคลังของไทยย่ำแย่ลงไปอีก นั่นหมายถึงประเทศและลูกหลานรุ่นต่อไปต้องแบกหนี้หัวโต ขณะที่ตอนนั้นพวกท่านคงล้มหายตายจากไปหมดแล้ว

“เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่กู้มาเพียงพอสำหรับการดูแลประชาชนและจัดหาวัคซีนที่ดีให้กับประชาชน แต่วันนี้ประชาชนกลับต้องเผชิญกับสายพันธุ์ของโควิดทุกสายพันธุ์แต่กลับเจอวัคซีนที่ประชาชนไม่มั่นใจ แถมยังมาเจอนายกรัฐมนตรีฉีดแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ในวันที่ประชาชนรอฉีดแอสตร้าเซนเนก้า แต่ไม่มีสำหรับประชาชน วันนี้ประชาชนอยากมีวัคซีนทางเลือก เพราะทุกคนอยากมีทางรอด ไม่ใช่รอดเพียงเพราะการการันตีจากรัฐบาล

“มีอยู่เรื่องเดียวที่รัฐบาลนี้ประสบความสำเร็จ อยากสงบให้จบที่ลุงตู่ สงบจริงๆ หันไปทางไหนเงียบสงบราวป่าช้า ไม่มีใครทำได้ ยุคลุงตู่ทำได้จริง ขนาดพัทยาเมืองที่ไม่เคยหลับไหล จะต้องสงบนิ่ง กรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมรหันไปทางไหนเงียบสนิท ร้านค้าในตำนานทยอยปิดตัว หนี้สินล้นพ้นตัว คนถึงร้องเรียกหาผู้นำประเทศอย่างพี่โทนี่ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ออกมาแนะและห่วงใยประชาชนชี้ทางรอดให้ประเทศ ถ้าลองนำวิธีคิดมาปฏิบัติจะฟื้นเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างแน่นอน เสียดายโอกาสประเทศไทย วันนี้ยังไม่สาย พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกเถอะค่ะ อย่าทิ้งมรดกบาปไว้ให้ลูกหลานต่อไปอีกเลย” นางสาวตรีชฎา กล่าว