“ยุทธพงศ์” ถาม ต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับหาวัคซีนโควิดให้คนไทย อะไรสำคัญกว่ากัน?
(30 พฤษภาคม 2564) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี แถลงข่าวถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ของรัฐบาล โดยกล่าวว่า ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ รัฐบาลจะประกาศการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับคนไทยทุกคนเป็นวาระแห่งชาติ แต่คนไทยต้องไม่ลืมว่า วัคซีนดังกล่าวนี้ประชาชนไม่ได้รับฟรีๆ แต่มาจากเงินภาษี ของประชาชน โดยรัฐบาลได้ขอออก พ.ร.ก. เงินกู้เมื่อปีที่แล้วจำนวน 1 ล้านล้านบาทไปจัดหาวัคซีนมาให้คนไทย ดังนั้นการที่ประกาศฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ คำถามแรกคือรัฐบาลจะมีวัคซีนแอสตราเซเนกา มาฉีดให้ประชาชนได้ไหม บริษัท แอสตราเซเนกาฯ สามารถส่งมอบวัคซีนให้ประเทศไทยทันวันที่ 7 มิถุนายนนี้หรือไม่ หรือฉีดได้แค่วัคซีนซิโนแวค ซึ่งประชาชนไม่เชื่อมั่น รัฐบาลควรเปิดเผยโปร่งใสด้วยการเปิดเผยสัญญาให้ประชาชนได้ทราบว่าถ้าบริษัทแอสตราเซเนกา ฯ ผิดสัญญาส่งมอบวัคซีนจะมีค่าปรับหรือไม่อย่างไร
ขณะที่รัฐบาลบริหารการจัดหาวัคซีนโควิดล้มเหลว ประชาชนทั้งประเทศต้องการวัคซีนโควิด แต่เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลกำลังจะทำ คือการนำเรื่องการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปอีก 40 ปี เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็น “วาระจร” นั่นหมายถึงสัมปทานมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาทผูกพันประเทศไปอีก 40 ปี มีความสำคัญเป็นแค่ “วาระจร” ของคณะรัฐมนตรี ซึ่งตนเองขอยืนยันว่าการต่อขยายสัปทานไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและยังมีวิธีแก้ปัญหามากกว่าแค่ต่อสัญญาให้เอกชน รวมถึงในกรณีสัมปทานรถไฟฟ้า ยังมีประเด็นอยู่ในระหว่างการพิจมรณาของศาลรัฐธรรมนูญด้วยว่า คำสั่งคสช.ที่ 2/2562 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าใครนั่งประชุมใน ครม.และยกมือต่ออายุสัมปทานให้รถไฟฟ้าก็ควรคิดในเรื่องประเด็นทางกฎหมายด้วย
“วันนี้คนไทยต้องการวัคซีนโควิด มีอาม่าตายเพราะโควิด มีคนไทยนอนตายเพราะโควิด รัฐบาลเคยไปดูไหม รัฐบาลไม่เคยเห็นค่าชีวิตคนไทยว่าสำคัญ แต่รัฐบาลกลับใส่ใจให้ความสำคัญผลประโยชน์ของเจ้าสัว ด้วยการพิจารณาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเอาเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร ทั้งที่ยังมีประเด็นคาอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ จึงอยากถามว่า การต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้ากับการจัดหาวัคซีนโควิดให้คนไทย อะไรสำคัญกว่ากัน?”