“เพื่อไทย” ชี้ “ประยุทธ์” ตอบในสภาฯ ผิด 4 ประเด็น ห่วง ผู้นำถูกมองว่า “โง่” เมื่อหนี้ทะลุ 60% และ ทำลายอนาคตมากกว่าสร้างอนาคต อีกทั้งเคยโกหกเองและยังปล่อยพรรคพวกโกหก แนะ อ่านบทความต่างประเทศพัฒนาความคิด

นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. หนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตอบการอภิปรายเรื่อง พ.ร.ก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ในสภาฯ ด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว ตำหนิฝ่ายค้านอย่างรุนแรงทั้งที่เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่จะต้องติเตียนและท้วงติงรัฐบาล ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์ ต้องไม่ลืมว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เพิ่งจะล้มเหลวในการใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่เศรษฐกิจกับไม่ดีขึ้น วัคซีนยังขาดแคลน และไม่มีวัคซีนให้เลือก อีกทั้งยังปล่อยให้เกิดการระบาดรอบใหม่ ดังนั้นการที่จะมาขอกู้อีก 5 แสนล้านบาทจึงต้องถูกตำหนิอยู่แล้ว

นอกจากนี้ การแถลงของพลเอกประยุทธ์ ยังแสดงความเข้าใจผิดในการบริหารของตัวเองที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงอยากจะชี้ให้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ เข้าใจผิด 4 ประเด็นที่จะเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศในอนาคตดังนี้

  1. การที่พลเอกประยุทธ์ สร้างหนี้ให้กับประเทศจำนวนมากแต่ประเทศไม่ได้พัฒนา กู้เงินเพื่อมาแจกอย่างเดียว จนหลายฝ่ายเกรงว่าจะทำให้ประเทศล่มสลายได้ และหนี้สาธารณะจะพุ่งเกินกว่า 60% อย่างแน่นอน แต่พลเอกประยุทธ์ กลับพูดว่า ตัวเองไม่ได้โง่ที่จะกู้เกินจนทำให้หนี้เกิน 60% ของจีดีพี โดยอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้เช็คกับสำนักบริหารหนี้สาธารณะของกระทรวงการคลังก่อน เพราะจากการแถลงข่าวของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพบว่า การใช้เงินกู้ 5 แสนล้านบาท การเก็บรายได้ขาดอีกประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท และ การกู้ชดเชยงบประมาณปี 65 อีก 7 แสนล้านบาท ซึ่งรวมกับหนี้สาธารณะเดิมแล้วอย่างไรก็เกิน 60% ไปมาก และพลเอกประยุทธ์ ก็ไม่มีแนวทางที่จะทำให้หนี้ลดลงได้ ดังนั้นวันไหนที่หนี้สาธารณะเกิน 60% ของจีดีพี ก็จะทำให้ ประชาชนเข้าใจได้ว่า พลเอกประยุทธ์จะกลายเป็นการแสดงความโง่ตามคำพูดของพลเอกประยุทธ์ เองได้ ซึ่งจะยิ่งทำให้ความมั่นใจของประเทศลดต่ำลง จากการมีผู้นำที่โง่
  2. การที่พลเอกประยุทธ์ อ้างว่ากำลังสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้มองย้อนหลังตลอด 7 ปี พลเอกประยุกธ์ บริหารเศรษฐกิจประเทศได้ล้มเหลว เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำมาก มีแต่บริษัทเจ๊งและเลิกกิจการกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ต้องปิดตัวไปแล้วเป็นแสนแห่ง การส่งออกของไทยแทบไม่ขยายตัวเลยในรอบ 7 ปี สินค้าส่งออกหลักเช่น รถยนต์ ก็กำลังจะหายไปเพราะโลกเปลี่ยนเป็นรถพลังงานไฟฟ้ากันแล้ว และธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ก็ย้ายฐานการผลิตไปประเทศเวียดนามกันเกือบหมด ธุรกิจใหม่ของไทยแทบไม่มีเลย แม้กระทั่งบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่า ยูนิคอร์น ก็ไม่เกิดขึ้นในไทย ทั้งที่ประเทศในอาเซียนที่มีศักยภาพมีกันหมดแล้ว ดังนั้นถ้า 7 ปีแล้วยังสร้างอะไรไม่ได้มีแต่จะหายไป ต่อไปจะสร้างเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างไร
  3. การที่พลเอกประยุทธ์ ถาม ส.ส. ฝ่ายค้านในสภา เรื่องอนาคตว่ารู้จักไหม ซึ่งพลเอกประยุทธ์ ควรน่าจะต้องถามตัวเองมากกว่า เพราะดูเหมือนพลเอกประยุทธ์ เองจะไม่เข้าใจคำว่าอนาคต เพราะถ้าล้มเหลวขนาดนี้ยังคิดว่าคือการสร้างอนาคต ก็น่าจะเป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง อยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้อธิบายว่าอะไรที่จะเป็นอนาคตของประเทศไทย และทำไมคนหนุ่มสาวและคนฉลาดคนเก่งจำนวนมากถึงอยากย้ายออกไปอยู่ประเทศอื่นจนมีสมาชิกในกลุ่มเฟสบุ๊คเป็นล้านคนแล้ว ถ้าพลเอกประยุทธ์ ยังไม่เข้าใจ ก็ยิ่งทำให้คนอยากย้ายออกไปอยู่ประเทศอื่นมากขึ้น เพราะหมดหวังกับประเทศที่มีผู้นำแบบนี้แล้ว อนาคตเห็นแต่ประเทศที่มีหนี้ท่วมแต่ไม่พัฒนา
  4. การที่พลเอกประยุทธ์ บอกว่าไม่เคยโกหกนี้ กลับน่าจะเป็นเรื่องโกหกครั้งใหญ่ เพราะหากจำกันได้พลเอกประยุทธ์ โกหกมาตลอดตั้งแต่ก่อนจะมีการปฏิวัติซึ่งพลเอกประยุทธ์ เคยยืนยันเองว่าจะไม่ทำปฏิวัติ บอกจำเป็นต้องเข้ามาแก้ไขความขัดแย้งแต่กลับให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าวางแผนปฏิวัติไว้ล่วงหน้า 6 เดือนแล้ว บอกขอเวลาไม่นานแต่ใช้เวลากว่า 5 ปีกว่าจะมีเลือกตั้ง บอกว่าไม่ต้องใช้เสียง สว. เลือกนายกฯ ทั้งที่ต้องใช้อย่างต่ำ 375 เสียงเลือกนายกฯ บอกเศรษฐกิจไทยดีมาตลอดแต่ต้องปลดคนบริหารเศรษฐกิจออกหลายชุดเพราะล้มเหลวและคนจนเพิ่มขึ้นมาก และบอกจะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ซึ่งถามว่าเรื่องเหล่านี้โกหกใช่หรือไม่ นอกจากจะโกหกเองแล้วยังปล่อยให้พรรคพวกโกหกด้วย จากคำพูดเหล่านี้เช่น “มันคือแป้ง” “นาฬิกายืมเพื่อน” “ไม่ได้ไปเที่ยวผับทองหล่อ” “เป็นแค่หวัดธรรมดา” เป็นต้น

จริงๆ ยังมีอีกหลายประเด็นแต่ยกมาเฉพาะประเด็นที่เห็นได้ชัดเจน จึงไม่อยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้พูดโดยไม่ได้พิจารณาให้ดีเพราะยิ่งจะให้ความเชื่อถือและความมั่นใจที่มีต่ำอยู่แล้วต้องลดต่ำลงอีก

ทั้งนี้อยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้ไปอ่านบทความ “Thailand’s long descent into economic darkness” ในสื่อหลักของญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชีย ที่ระบุชัดเจนถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยด่ำดิ่งสู่ความมืดมิด ไม่เห็นแสงสว่างในปลายถ้ำ ในขณะที่ทั้งโลกเห็นแสงสว่างกันแล้ว และการที่เศรษฐกิจไทย จะไม่ฟื้นหลังวิกฤตการณ์ไวรัสโควิดจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความล้มเหลวของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งอยากให้พลเอกประยุทธ์ ไปอ่านและพิจารณาตัวเอง ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ ยังไม่รู้ตัวจะยิ่งทำให้อนาคตของประเทศไทยมืดมิดมากขึ้น