เพื่อไทยแนะทางออกวิกฤตโควิด-19 ย้ำแพทย์ต้องได้วัคซีน mRNA เด็กไทยต้องไม่หลุดจากระบบการศึกษา พร้อมทำทุกทางโค่นประยุทธ์ให้ได้
พรรคเพื่อไทยจัดเสวนา “วิกฤตโควิด-19 ทางออกก่อนถึงทางตัน” เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนและเสนอแนะหาทางออกในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งเข้าขั้นวิกฤต โดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยกำลังจะพัง โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2564 จาก 3.5% เหลือ 1.8% ส่วนการจัดเก็บรายได้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ลดลงเกือบ 2 แสนล้านบาท และคาดว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณจะเก็บรายได้ลดลงเกือบ 3 แสนล้านบาท หนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/2564 พุ่ง 14.13 ล้านล้านบาท หรือ 90.5% ต่อจีดีพี ภาคธุรกิจจะทยอยปิดกิจการลง คนไทยจะตกงานมากขึ้น ในขณะที่ราคาสินค้าจะสูงขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจจะถาโถมขึ้น จึงขอเสนอ 7 ทางออกก่อนถึงทางตัน ได้แก่
- สั่ง mRNA 60 ล้านโดส ทันที โดย บุคลากรทางการแพทย์ต้องได้รับวัคซีนเข็ม 3 ทันที
- พลเอกประยุทธ์ต้องเจรจาบังคับให้แอสตราเซเนกาส่งวัคซีนที่สั่งไว้ตามกำหนด
- กระจายการฉีดวัคซีนให้เร็วและกำหนดการเปิดประเทศใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริง
- เปลี่ยนแปลงการเยียวยาผู้ได้รับความเดือดร้อนใหม่ให้ตรงจุด ทั้งยิ่งใช้ยิ่งได้ คนละครึ่ง และโครงการอื่นๆ
- ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ย 0% ให้กับผู้ประกอบการรายย่อย
- เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยต้องปิดสวิตซ์ ส.ว.
- พลเอกประยุทธ์ต้องออกไป เพราะได้กลายเป็นโมฆะบุรุษ หมดสภาพการเป็นผู้นำประเทศ ยิ่งอยู่ประชาชนยิ่งลำบาก
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์โควิดในประเทศไทยขณะนี้ถึงทางตัน เกิดการส่งต่อเชื้อกระจายออกไปภูมิภาคอย่างไร้ยุทธศาสตร์การควบคุม วัคซีนที่มีอยู่ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลทำให้ระบบการแพทย์รับมือไม่ไหว จึงขอเสนอทางออก ได้แก่
1.รัฐบาลต้องเปิดให้ประชาชนเข้าถึงชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ได้ด้วยตนเอง หากทุกคนสามารถตรวจเชื้อได้ครอบคลุม จะสามารถแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ไม่ติดเชื้อได้รวดเร็ว เป็นการแยกโรคได้อย่างถูกต้องตามหลักสาธารณสุข
2.ปรับวิธีการกักตัวใหม่ โดยกักตัวที่บ้าน มีชุดตรวจเชื้อ ชุดตรวจระดับออกซิเจนในเลือดแบบพกพา หากค่าออกซิเจนต่ำกว่ามาตรฐานต้องรีบแจ้งแพทย์เพื่อส่งตัวทันที พร้อมกับการปรึกษาหมอทางไกลหรือ telemedicine เพื่อตรวจอาการให้คำปรึกษาผู้ติดเชื้อกักตัวในบ้านได้
3.จัดทีมเฝ้าระวังในทุกเขต ออกสำรวจโรคได้ทันทีที่พบเคส พร้อมประสานงานผู้ติดเชื้อไปโรงพยาบาล
4.รัฐต้องจัดหาวัคซีนเฉพาะหน้าให้เร็วที่สุด เมื่อวัคซีนมีน้อยต้องใช้อย่างเฉพาะเจาะจงที่สุด มุ่งเน้นบุคลากรการแพทย์และกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดก่อน แล้วค่อยขยายวงออกไป
5.รัฐบาลต้องหาวัคซีนให้ได้มากที่สุด วัคซีนต้องมีคุณภาพ เพียงพอ และต้องเปิดเผยความจริงอย่างตรงไปตรงมา เดือนกรกฎาคมถึงกันยายนนี้ เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้า ที่กำลังระบาดรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์แอลฟากว่า 1.4 เท่า จะคร่าชีวิตคนไทยไปเดือนละไม่ต่ำกว่าพันถึงสองพันคน
“เมื่อรัฐบาลโดย ศบค. บริหารประเทศจนมีประชาชนติดเชื้อ เจ็บป่วย ล้มตายมหาศาลรายวันขนาดนี้ มันเกินกว่าคำว่าบริหารงานโดยประมาทเลินเล่อ นี่คือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนเกิดการระบาดล้มตาย อาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกตัวอย่างไว้ว่าเราสามารถใช้มาตรการทางกฎหมายเอาผิดรัฐบาลได้ ดังนั้นเราจะต้องมีมาตรการทางกฎหมายเพื่อเอาผิดรัฐบาลและ ศบค. เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับคนที่เจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโควิด ให้ได้รับความยุติธรรม” นายแพทย์ชลน่านกล่าว
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์ต้องร้องไห้ ระบบสาธารณสุขถูกตั้งคำถามว่าจะรับมือได้อีกกี่วัน สัดส่วนผู้ติดเชื้อต่อจำนวนประชากร ไทยแซงจีน แซงอินเดีย ในอาเซียน สภาพใกล้ล่มสลาย วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสังคมทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะรัฐบาลมั่นใจม้าเต็ง ที่วันนี้กลายเป็นม้าแกลบ ปัญหาสำคัญคือรัฐบาลใช้การทหารนำการสาธารณสุข ทางรอดเดียว คือ ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้ได้เร็วที่สุด มากที่สุด เพื่อเร่งให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
วันนี้รัฐบาลถึงทางตัน จึงขอเสนอทางออกดังนี้
- เร่งฉีดวัคซีน mRNA ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโดยเฉพาะพื้นที่สีแดง
- แก้ไขปัญหาการบริหารจัดการวัคซีน นำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดทุกสายพันธุ์ให้กับประชาชน
- เร่งตรวจเชิงรุก โดยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจเชื้อด้วยตัวเอง และเตรียมระบบรองรับการดูแลผู้ติดเชื้อที่บ้าน
- เร่งเยียวยาประชาชนเดือนละ 5,000 บาท อย่างน้อย 3 เดือน เร่งชดเชยเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ทั้งการยกเว้น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ ลดหรือหยุดดอกเบี้ยสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ
- ยกเลิก ศบค.ทั้งชุดเล็ก ชุดใหญ่ เพราะล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ กลับไปใช้โครงสร้างการทำงานปกติ
“พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้ปัญหาวิกฤตได้รับการแก้ไข ตราบที่ยังคงคิดเหมือนเดิม ทำแบบเดิม สถานการณ์ข้างหน้าจะวิกฤตมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไข” นายอนุสรณ์ กล่าว
นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในสถานการณ์นี้ ทางออกที่ควรพิจารณา คือการใช้อำนาจทางกฎหมายผ่านองค์กรตุลาการ เอาผิดพลเอกประยุทธ์ ในฐานะ ผอ.ศบค ที่จัดสรรวัคซีนที่ล่าช้า ไม่หลากหลาย และมีความหละหลวมการระงับการระบาดตั้งแต่ระลอก 1-3 จนถึงปัจจุบัน เป็นการกระทำละเมิดรัฐธรรมนูญ 2560 พรรคเพื่อไทยจะทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องชีวิตประชาชน เอาผิดพลเอกประยุทธ์ให้ได้
นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงเด็กไทยที่อาจจะหลุดจากระบบการศึกษา 70,000 คน จากการประเมินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จึงขอเสนอทางออกต่อกระทรวงศึกษาธิการที่ควรจะทำคือ
1.จัดสรรงบประมาณอุดหนุนกับกลุ่มเด็กเปราะบางและยากจน ในต่างประเทศอย่างรัฐนิวยอร์กมีโครงการให้ยืมไอแพดและระบบซิมการดให้เด็กที่ยากจน ซึ่งในสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เคยเสนอและตระหนักเห็นความสำคัญเรื่องนี้มาก่อน
2.ยกเลิกการสอบวัดผลทุกระดับในสถานการณ์นี้ เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความกดดันและถูกกีดกันจากระบบการศึกษา
3.ส่งเสริมการเรียนการสอนแบบ Active Learning มากขึ้น กำหนดรูปแบบการเรียนที่เด็กเสนอตามความสนใจของตนเองตามความถนัด
4.เน้นเนื้อหาที่จำเป็นในวิชาพื้นฐานที่ควรรู้ แต่เพิ่มเติมเนื้อหาที่จะพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล เพิ่มเติมจากการส่งเสริม IQ และEQ
“วงจรหลุมดำของพลเอกประยุทธ์ ไม่ใช่แค่การระงับควบคุมโรคเท่านั้น แต่ต้องวางแผนไปในอนาคตถึงโอกาสของเด็กไทยด้วย เราผิดพลาดตั้งแต่มี #ผนงรจตกม เราต้องไม่ทำผิดพลาดต่ออนาคตของประเทศอีก” นางสาวอรุณีกล่าว