“เพื่อไทย” จี้ “ประยุทธ์” คือตัวปัญหา ขนาด ธปท. และทีดีอาร์ไอ ยังห่วงหนัก ชี้ ไทยเสียโอกาสพัฒนาเพราะผู้นำขาดความรู้ความเข้าใจ แนะ ไทยพลาดอีกไม่ได้แล้ว ผู้นำพิการทางความคิดต้องไปได้แล้ว

นายเอกชัย ทรงอำนาจเจริญ ส.ส. อุบลราชธานี กรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงแสดงความกังวลว่าการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าในรอบนี้จะควบคุมได้ยาก สภาพเตียงล้น ของผู้ป่วยในปัจจุบัน จากการล่าช้าของวัคซีน ส่งผลกระทบลามไปทั่วทุกจังหวัด และ จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ ที่เดิมคาดว่าจะขยายลดลงมา 1.8 % แต่คงเป็นไปได้ยากแล้วและจะลดต่ำลงมาอีก อีกทั้งจะมีคนตกงานเพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งตรงกับคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย โดย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคด้านเศรษฐกิจ ได้ออกมาเตือนประชาชนเช่นกันก่อนหน้านี้แล้ว และทีดีอาร์ไอ ได้ออกแถลงปัญหาการแพร่ระบาดครั้งนี้ โดยระบุชัดเจนว่าเป็นความผิดของรัฐบาลและจะต้องหาคนมารับผิดชอบเพื่อลงโทษ ซึ่งหากได้มองย้อนหลังจะพบว่าพรรคเพื่อไทยได้เสนอแนะแนวทางการรับมือกับวิกฤตการณ์นี้มาตลอด โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนที่พลเอกประยุทธ์ บริหารล้มเหลวอย่างหนัก จนเป็นสาเหตุหลักของการแพร่ระบาดอย่างมากในครั้งนี้ ดังนั้นหากพลเอกประยุทธ์ เปิดใจรับฟังและนำไปพิจารณาปฏิบัติ ป่านนี้คงไม่ย่ำแย่ล้มเหลวเละเทะขนาดนี้ ซึ่งยังมองไม่เห็นเลยว่า จะหยุดยั้งการระบาดและจะฟื้นเศรษฐกิจกลับมาได้อย่างไร ดังนั้นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบทั้งหมดเต็มๆ ก็คือพลเอกประยุทธ์ นั่นเอง โดยล่าสุดผลการสำรวจของสื่อใหญ่พบว่าประชาชนที่เชื่อว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จะไม่สามารถแก้ปัญหาโควิดครั้งนี้ได้มีถึง 96.3% มีคนเชื่อว่าทำได้เพียง 3.7% เท่านั้น แสดงถึงความเชื่อถือไม่เหลือแล้ว

ทั้งนี้หากพิจารณาย้อนหลัง พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้พลเอกประยุทธ์ ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศโดยเฉพาะทางด้านคมนาคมที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอไว้หลายโครงการในสมัยรัฐบาลนายกยิ่งลักษณ์ ในจำนวนเงินกว่า 2.2 ล้านล้านบาท โดยเฉลี่ยการลงทุนเพียงปีละ 3-4 แสนล้านบาททุกปี แต่พลเอกประยุทธ์ ไม่ยอมทำอ้างว่าไม่มีเงิน แต่พอเกิดการระบาดของไวรัสกลับใช้เงินกู้จำนวนมหาศาลได้ นับเป็นเงินหลายล้านล้านบาท รัฐบาลใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 20 ล้านล้านบาท สร้างหนี้สาธารณะจะทะลุ 9 ล้านล้านบาท และจะทะลุเพดาน 60% แล้ว แต่ประเทศกลับไม่ได้มีการพัฒนา ซึ่งถ้าพลเอกประยุทธ์ มีความเข้าใจทางเศรษฐกิจและยินยอมทะยอยลงทุนพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว ป่านนี้เศรษฐกิจไทยคงพัฒนาไปไกลกว่านี้มาก และหนี้ก็จะไม่มากกว่านี้ เพราะจีดีพีจะสูงขึ้นอีกมากในแต่ละปีตามการลงทุน แต่พลเอกประยุทธ์ กลับใช้เงินสะเปะสะปะ เงินส่วนใหญ่นำไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์บ้าง ไปแจกมั่วบ้าง ไม่ได้นำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ ไม่ก่อให้เกิดการจ้างงาน 7 ปีที่ผ่านมาถนนท้องถิ่นไม่พัฒนาจนโครงสร้างพื้นฐานไทยไม่ดึงดูดนักลงทุนอีกต่อไปแล้ว ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติต่ำที่สุดในภูมิภาค จีดีพีของไทยถึงโตต่ำเตี้ยมาตลอด 7 ปี และได้ตัดสินใจทำรถไฟความเร็วสูงเพียง 3.5 กม. เท่านั้น ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนโยนเงินทิ้งไปเปล่าๆ และ รมว. คมนาคม คนที่ทำรถไฟความเร็วสูงเพียง 3.5 กม. ก็มาเป็น รมว. คลังในรัฐบาลนี้ ดังนั้นจึงทำให้ระบบการเงินการคลังของประเทศอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้

การที่รัฐบาลไม่ยอมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะปัจจุบันจะมาลงทุนพัฒนา ราคาค่าก่อสร้างก็พุ่งสูงมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่าแล้ว อีกทั้งถ้าสร้างเสร็จก่อนประเทศก็พัฒนาก่อนโดยเฉพาะการพัฒนาในเชิงพื้นที่ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ คงคิดไม่ได้เพราะเป็นผู้นำที่พิการทางความคิดในทุกด้านแล้ว ยกตัวอย่างเช่นรถไฟความเร็วสูงจากจีนจะมาถึงเมืองเวียงจันทร์ ประเทศลาวโดยจะเปิดบริการภายในสิ้นปีนี้ในขณะที่รถไฟความเร็วสูงของไทยยังไม่ไปไหนเลย ทั้งที่เริ่มต้นโครงการในเวลาพร้อมๆ กัน ซึ่งหากไทยสร้างรถไฟความเร็วสูงถึงจังหวัดหนองคายและเชื่อมต่อไปเวียงจันทน์ได้ นักท่องเที่ยวชาวจีนก็จะสามารถมาเที่ยวประเทศไทยและจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสานได้ คนอีสานก็จะได้รับประโยชน์กันหมด ปัจจุบันนอกจากจะดำเนินการโครงการต่างๆ ที่ล่าช้าและราคาสูงมากแล้ว ยังปรากฏข่าวความไม่โปร่งใสในการประมูลระบบคมนาคมในหลายโครงการ เช่น รถไฟใต้ดิน และ รถไฟรางคู่ เป็นต้น จนเป็นที่อื้อฉาวทำให้ประชาชนไม่พอใจกันอย่างมาก

ในภาวะวิกฤตินี้ ประเทศไทยต้องการผู้นำที่เก่งและต้องมีความฉลาดอย่างเฉียบแหลม จะมาทำพลาดซ้ำๆเหมือน 7 ปีที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว ไทยไม่สามารถที่จะพลาดได้อีกต่อไปแล้ว เพราะประเทศไทยเสียหายมามากแล้ว และไม่มีอะไรจะเหลือให้พลาดอีก ดังนั้นผู้นำพิการทางความคิดต้องรู้ตัวแล้วและจะต้องออกไปได้แล้วก่อนประชาชนจะทนกันไม่ไหวต้องออกมาขับไล่