อนุสรณ์ ชี้ วิกฤตหนัก รัฐล้มเหลว ปัญหาประชาชนไม่ได้รับการแก้ไข
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการล็อกดาวน์หลังผ่านการบังคับใช้มาครึ่งทาง ว่า ประชาชนประเมินการล็อกดาวน์ครั้งนี้ มีแนวโน้มเจ็บแต่ไม่จบ และอาจต้องเจ็บหนักขึ้นไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ สถานการณ์ที่ต้องปิดเมืองก่อนเปิดประเทศ เศรษฐกิจพังลามวิกฤตหนักไปอย่างรวดเร็ว แต่รัฐบาลแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก กดตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้ติดเชื้อไม่ลง ก็ยกระดับไปเรื่อยๆ ไม่เห็นแผนงานที่เป็นขั้นเป็นตอนทั้งก่อนและหลังการล็อกดาวน์ จุดเปลี่ยนสำคัญของโควิดระลอกนี้คือการสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างโดยไม่มีแผนรองรับ กลายเป็นการส่งเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศอย่างเป็นทางการด้วยคำสั่งของรัฐบาลเอง หลักฐานฟ้องความล้มเหลวชัด คือการประกาศขยายล็อกดาวน์ไปยังจังหวัดต่างๆเพิ่มขึ้นเป็น 13 จังหวัด และมีแนวโน้มว่าอาจจะต้องประกาศเพิ่มจังหวัดต่างๆเพิ่มขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้ สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำในภาวะวิกฤตและเวลาเหลือน้อยมากแล้ว คือ
1.สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้เร็วขึ้น เพื่อแยกคน แยกโรค ลดขั้นตอนและลดภาระของประชาชน ชุดตรวจหาเชื้อด้วยตัวเอง Rapid Antigen Test ต้องเข้าถึงง่าย ไม่เป็นภาระของประชาชน
2.ต้องเร่งจัดหาวัคซีนคุณภาพ mRNA มาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าและประชาชน เปิดเผยไทม์ไลน์ที่ชัดเจนถูกต้อง เปิดเผยสัญญาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ภาคประชาชนได้ร่วมตรวจตรวจสอบ ลดไอโอ เพิ่มไอคิว หยุดกล่าวโทษและด้อยค่าประชาชน ยุติการนำเข้าวัคซีนประสิทธิภาพต่ำแล้วเพิ่มวัคซีน mRNA
3.เร่งสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิดให้เพียงพอ เพราะแม้ต้องดูแลตัวเองที่บ้าน ถ้ามียาเพียงพอ ผู้ติดเชื้อก็สามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
4.การเยียวยา ต้องถ้วนหน้า เข้าถึงง่าย ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ
“อาการหนักของรัฐบาล คือไม่รู้สภาพตัวเองว่ากำลังป่วยหนัก ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหา ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ แล้วไม่ยอมปรับปรุงการทำงาน จะอยู่เป็นรัฐบาลไปเพื่ออะไร” นายอนุสรณ์ กล่าว
อนุสรณ์ ชี้ วิกฤตหนัก แต่เหมือนประชาชนอยู่กับรัฐบาลทิพย์
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า นอกจากการล็อกดาวน์ประเทศจะล็อคดาวน์ประชาชน ล็อกดาวน์พื้นที่ ไม่แน่ใจว่า รัฐบาลกำลังล็อคดาวน์บทบาทหน้าที่การทำงานของตัวเองด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผอ.ศบค.รับผิดชอบภาพรวมการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประเทศ และตั้งตัวเองเป็นผอ.ศูนย์แก้โควิด-19 กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็ล้มเหลว ผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพแทบทุกตำแหน่ง สะท้อนผ่านการประกาศยกระดับ 13 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม และมีแนวโน้มอาจต้องประกาศยกระดับจังหวัดต่างๆเพิ่มขึ้นอีก ทั้งหมดล้วนเป็นความรับผิดชอบของพล.อ.ประยุทธ์ แทนที่จะเพิ่มไอคิว ดันเพิ่มไอโอ จนต้องปั่นไอโอสู้กันเองระหว่างทหารกับพรรคร่วมรัฐบาล เหมือนทหารเหยียบตาปลาหมอ อุตส่าห์ยึดอำนาจมารวมศูนย์ไว้ที่ตัวเอง แต่กลับล็อกดาวน์บทบาทหน้าที่ตัวเอง ไม่ทำงาน ไม่ตั้งสติ ตรวจสอบ แทนที่จะยอมรับผิดแล้วเดินหน้าปรับปรุงแก้ไข แต่ก็ละทิ้งโอกาสและไม่ทำ แทบทุกกระทรวงหายไปจากสารบบของการดูแลเยียวยาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ปล่อยให้ประชาชนต้องดูแลเยียวยาตัวเอง มีรัฐบาลก็เหมือนมีรัฐบาลทิพย์ ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ กระทรวงดีอีเอส แทนที่จะบริหารจัดการเชื่อมโยงข้อมูลในระบบบิ๊กดาต้าเพื่อให้สามารถเข้าถึงการเยียวยาประชาชนที่เดือดร้อน แต่กลับไปเน้นหนักในการทำหน้าที่ไล่ฟ้องประชาชนปกป้องอำนาจรัฐกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ควรจะมีบทบาทหลักในการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบางกลับล็อคดาวน์ตัวเอง กระทรวงศึกษาธิการที่ควรเป็นเจ้าภาพในการงดหรือลดค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆในช่วงที่นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ให้ผู้ปกครอง ก็ไม่สามารถทำได้ ที่ขยันผิดกระทรวงอื่น คือกระทรวงกลาโหมที่ยังคงดำรงความมุ่งหมายในการจ้องจะซื้อเรือดำน้ำอันเป็นความปรารถนาอย่างสูงสุดของกองทัพ
“รัฐบาลทิพย์ รัฐมนตรีล็อกดาวน์บทบาทตัวเอง คนเปราะบาง ประชาชน เดือดร้อนทั่วทุกหย่อมหญ้า เยียวยาไม่พอยาไส้ แต่ให้ประชาชนดูแลกันเอง จิตใจทำด้วยอะไร” นายอนุสรณ์ กล่าว
อนุสรณ์ จี้ จนท.รัฐ ยืนข้างความถูกต้อง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
กล่าวถึงกรณี การใช้ความรุนแรงในการควบคุมและสลายการชุมนุมของประชาชน ว่า แทนที่เจ้าที่ตำรวจจะยืนข้างอำนาจรัฐที่ล้มเหลว ควรยืนข้างความถูกต้อง รับฟังประชาชน แทนที่จะมีทัศนคติอันเป็นลบต่อผู้ชุมนุม ควรเห็นใจและเปิดใจรับฟัง ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 วิกฤตหนักรอบด้าน แต่ประชาชนกลับเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ฝ่าโควิด ไปชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่ล้มเหลว เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ เพราะประชาชนไม่แน่ใจว่า ระหว่างโควิด-19 กับรัฐบาลที่ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ แต่พยายามสืบทอดอำนาจทุกวิถีทาง เพื่อรักษาอำนาจของตัวเองไว้ให้นานที่สุด อะไรน่ากลัวกว่ากัน การใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน การไม่ปฏิบัติตามลำดับขั้นตอนของการควบคุมฝูงชนตามหลักสากล นอกจากจะทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ ตัวผู้ปฏิบัติงานก็มีโอกาสถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ประชาชนมาร้องขอวัคซีนคุณภาพ mRNA กลับได้รถฉีดน้ำแรงดันสูง แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ลามไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนยันว่าเจ้าที่ตำรวจยิงกระสุนยางก่อนการประกาศว่าจะใช้ ถ้าเหตุเพลิงไหม้ที่กิ่งแก้วมีประสิทธิภาพในการดับไฟ ได้สักครึ่งของการปราบปรามม็อบ คงสามารถควบคุมเพลิงได้เร็วกว่านี้ ถ้าวัคซีน mRNA มาเร็วกว่า ตู้คอนเทนเนอร์ ประชาชนคงไม่วิกฤตหนัก เจ็บป่วยล้มตายเหมือนใบไม้ร่วงเช่นทุกวันนี้
“ความสูญเสีย คราบน้ำตา เสียงร้องไห้ ที่ดังระงมทั้งประเทศ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้ยินบ้างหรือ วิกฤตโควิด ผู้คนเดือดร้อนได้รับผลกระทบ กันถ้วนหน้า เจ้าหน้ารัฐและครอบครัวก็โดนไม่ต่างกัน ไม่มีประโยชน์ที่จะยืนเพื่อรักษาอำนาจรัฐที่ล้มเหลว แต่ต้องยืนเพื่อความถูกต้อง ” นายอนุสรณ์ กล่าว