“เพื่อไทย” ชี้ “ประยุทธ์” บริหารวัคซีนล้มเหลวยิ่งกว่าหนังชีวิต คนป่วยตายเกลื่อน เมรุระเบิด จี้เอกสารแอสตร้าเซนเนก้า ตบหน้ารัฐบาล แนะ ย้อนฟังคำพูดตัวเองตอกย้ำสาเหตุความล้มเหลว
นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเทศไทยมาถึงจุดที่คนไทยต้องมานั่งลุ้นนับจำนวนคนป่วยและตายด้วยโรคโควิด-19รายวัน ลุ้นเตียง ลุ้นวัคซีน ทั้งที่มีโรงงานผลิตวัคซีนอยู่ในประเทศ ลุ้นเงินเยียวยา ลุ้นว่าตัวเองและครอบครัวจะมีโอกาสรอดตายหรือไม่ วันนี้มาถึงขั้นที่เตียงเต็ม ศพล้นห้องเก็บศพ เมรุเผาศพระเบิด เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร
“เมื่อวานวัดบางน้ำชน วัดดังเขตธนบุรี เผาศพผู้เสียชีวิตจากโควิดและศพทั่วไปฐานเตาเผาร้าว ปล่องเมรุแตกหักพังทลายเหลือแต่ซาก ไม่สามารถใช้เผาศพได้ ต้องขอรับบริจาคเพื่อสร้างเมรุใหม่ ถ้ายอดผู้ป่วยยังพุ่งกระฉูดแบบนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาคนป่วยโควิด ไม่สามารถหยุดการตายของประชาชนให้ลดลงได้ มีโอกาสที่วัดอื่นจะตกในสภาพเมรุเผาศพระเบิดเช่นเดียวกัน เวลานี้สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรนึกถึงเสมอว่าการเป็นผู้บริหารประเทศควรต้องมีใจเป็นธรรมและนึกถึงประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์คนไทยด้วยกัน โดยไม่ควรจะคิดถึงเรื่องผลประโยชน์ใดๆ นอกเหนือจากการช่วยชีวิตคนไทยด้วยกันและช่วยให้บุคลากรการแพทย์ปลอดภัย โดยให้จัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพดีๆ เข้ามา ต้องไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งเอกสารลับที่ สจอร์ด ฮับเบน (Sjoerd Hubben) รองประธานฝ่ายกิจการองค์กรทั่วโลก ของบริษัทเวชภัณฑ์แอสตราเซเนกา ที่ส่งให้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขไทย ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ทำให้ประชาชนทราบว่า จริงๆ แล้วไทยจะได้แอสตราเซเนกาเพียงเดือนละ 5-6 ล้านโดส ต่างจากที่รัฐบาลเคยประกาศว่าจะได้วัคซีนยี่ห้อดังกล่าวเดือนละ 10 ล้านโดส ตบหน้ารัฐบาลอย่างแรง ทั้งที่เรื่องความเป็นความตายของประชาชนแต่ประชาชนไม่เคยได้รับรู้ความจริง ทำไมต้องหมกเม็ดไม่ยอมเปิดเผยสัญญาจริงต่อสาธารณะ
และสิ่งสำคัญที่ถูกสะท้อนจากบุคลากรด่านหน้าคือ คนที่หายป่วยจากโรคโควิดบางคนไม่ยอมกลับบ้านโดยบอกว่ากลับไปแล้วจะให้ไปทำอะไร ไม่มีงาน ไม่มีกิน นี่คือผลกระทบที่เห็นชัดเจน คือ รัฐบาลนอกจากแก้ปัญหาเรื่องโควิดไม่ได้ ยังไม่มีความสามารถแก้ปัญหาปากท้องที่ประชาชนได้รับผลกระทบ คือ สภาพตกงาน ไม่มีรายได้ ไม่มีกิน ยิ่งพื้นที่ที่ประกาศล็อกดาวน์จากแคมป์คนงานมาถึงปัจจุบัน รัฐบาลประกาศเยียวยาบรรดาคนงานก่อสร้าง ลูกจ้างร้านอาหาร เจ้าของกิจการ คนทำงานอิสระและผู้ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ผู้ที่ลงทะเบียนกับประกันสังคมตาม ม.40 ที่ยังเป็นประเด็นทางสังคมก่อนหน้านี้ ว่าหากมีการลงทะเบียนกับประกันสังคมเพื่อรับเงินเยียวยา 5,000 บาท แต่จะทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิ์บัตรทองได้เหมือนเดิม แม้ว่าสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ออกมาแจงว่าผู้ถือบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ เมื่อสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้วไม่มีผลกระทบ และใช้สิทธิการรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง และสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เคยได้รับได้เหมือนเดิม แต่ปมปัญหาคือสิทธิ์ของประกันสังคมกับสิทธิ์ในบัตรทองมันทับซ้อนกันอยู่หลายอย่างในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล อาจจะทำให้ประชาชนถูกตัดสิทธิ์การเข้าถึงการรักษาในส่วนที่ควรต้องได้
“คำถามทำไมจะจ่ายเงินให้ประชาชนต้องมีเงื่อนไขยุ่งยาก ผลกระทบจากการล็อกดาวน์ควรดูแลประชาชนแบบถ้วนหน้า ทำไมจะให้เงินเยียวยาต้องไปเสียเงินสมัครเข้าระบบจึงจะได้เงินและเป็นภาระต้องจ่ายรายเดือน จะได้เงินจากรัฐบาลช่างยากเย็นเหลือเกิน ไม่ต่างอะไรกับโครงการคนละครึ่ง ที่ประชาชนต้องควักเงินจ่ายจึงจะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล สุดท้ายร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกลับถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง จนหลายร้านต้องถอดป้ายยกเลิกการเข้าร่วมโครงการ ทั้งๆ ที่วันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมาครม.มีมติเห็นชอบให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินสนับสนุน และประโยชน์อื่นใด ที่ประชาชนได้รับในปีภาษี 2563 จากมาตรการหรือโครงการที่ประชาชนได้รับจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เคยสนใจดูแลเรื่องนี้ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจบ้างหรือไม่ ถ้ามีการเรียกเก็บภาษีเช่นนี้เปรียบเป็นการทำนาบนหลังประชาชน เหยียบซ้ำความลำบาก คล้ายกับนายทุนปล่อยเงินกู้ที่ให้เงินยืมแต่คิดดอกเบี้ยทีหลังสุดโหด ขณะเดียวกันพอประชาชนออกมาส่งเสียงสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง กลับกล่าวหาว่าเป็นการ call out ส่งตัวแทนไปแจ้งความดำเนินคดี ถ้าเอาความรู้สึกของประชาชนส่งเสียงพูดพร้อมกันทั้งประเทศท่านคงต้องดำเนินคดีกับคนทั้งประเทศ เพราะมันคือความจริง ท่านอย่ามารบกับประชาชน เพราะเงินเดือนประจำตำแหน่งของท่านคือเงินภาษีจากประชาชน ท่านมีความสุขดีหรือ ในยามที่ประชาชนตกงาน ไม่มีรายได้ ไม่มีกิน ถูกตัดน้ำ ตัดไฟ ไม่เห็นอนาคต ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม
“วันนี้สิ่งที่เราไม่เคยเจอเราก็ได้เจอกันหมด วันก่อนบอกว่าจะมีวัคซีนเต็มแขน วันนี้เราไม่มีวัคซีนฉีด ไม่มีภูมิคุ้มกัน ท่านบอกจะไม่ปล่อยให้คนตายคาบ้าน วันนี้คนนอนตายคาบ้าน ตายคารถ นอนตายกลางถนน มันฟ้องความอำมหิตของรัฐบาลที่บริหารจัดการล้มเหลว พล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐมนตรีควรจะจูงมือกันออกมาพร้อมยอมรับว่าตัวเองหมดสภาพ ไม่มีความสามารถ แล้วประกาศลาออก ยังจะมีพื้นที่ยืนในสังคมต่อไป เพราะถ้าช้า มันจะกลายเป็นตราบาป ว่าพวกท่านกำลังยิ้มกอดกันไปต่อ ขณะที่ศพประชาชนนอนตายเกลื่อนถนน” นางสาวตรีชฎา กล่าว