“หมอชลน่าน”ชี้“บิ๊กตู่”เลวร้ายกล่าวหาคนติดเชื้อแกล้งตาย อัดรัฐบาลเผด็จการใช้กฎหมายคุกคามสื่อปิดปากประชาชน
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากกรณีที่ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศ ข้อกำหนด ฉบับที่ 29 ห้าม “เสนอข่าวที่อาจทำให้ ปชช.หวาดกลัว” หรือ “เจตนาบิดเบือน” ห้ามผู้ใดเสนอข่าว จําหน่ายหรือทําให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทําให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบเพื่อดำเนินคดี จากข้อกำหนดนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังวางระเบิดลูกใหญ่ในสังคมไทย เพราะทำให้ประชาชนรับไม่ได้ อาจจะเกิดระเบิดขึ้นมาในวันใดวันหนึ่งก็ได้ เพราะการเลือกปิดปากประชาชนไม่เกิดประโยชน์กับประเทศในยามวิกฤตขนาดนี้
การดำเนินการดังกล่าว เป็นการใช้กฎหมายเกินขอบเขตของกฎหมาย และขัดต่อเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ ในหมวดที่ 3 ระบุว่า สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การตรากฎหมายต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรกว่าเหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ ชัดเจนว่ารัฐบาลไม่เคารพรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ รัฐบาลใช้กฎหมายพร่ำเพื่อ และสร้างแรงกดดันในหมู่ประชาชน ทั้งที่การแก้เฟคนิวส์ที่ดีที่สุด คือการพูดความจริงหรือรัฐบาลนี้กลัวความจริง จึงไม่ยอมรับการรับรู้ของประชาชน
นายแพทย์ชลน่าน กล่าวด้วยว่า รัฐบาลเลือกใช้กฎหมายเพื่อปิดหูปิดตา ปิดปากประชาชน วิธีการที่รัฐบาลเลือกใช้ ใกล้เคียงกับรัฐบาลเผด็จการทั่วโลกใช้กัน คือควบคุมสื่อไม่ให้เสนอข่าว นอกเหนือจากสิ่งที่รัฐบาลนำเสนอเท่านั้น หากมีใครไม่เชื่อฟังก็จะใช้มาตรการทางกฎหมายดำเนินการ นอกจากนี้กรณีที่มีประชาชนที่ติดเชื้อโควิดแล้วหาเตียงไม่ได้ ไม่ได้รับการรักษา จนกระทั่งนอนเสียชีวิตข้างถนน รัฐบาลออกมาปัดความรับผิดชอบ กล่าวหา เป็นการจัดฉากแกล้งตาย เรื่องแบบนี้คนจะตายไม่มีใครจัดฉากแน่ หากพลเอกประยุทธ์ บอกว่าการนอนตายริมถนนของประชาชนเป็นการจัดฉาก แล้วทำไมไม่ตรวจสอบ แต่ออกมากล่าวหาประชาชนเช่นนี้ เป็นการใส่ร้ายประชาชนที่เลวร้ายมาก และเจตนาที่จะต้องการปัดสวะ ไม่รับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน โดยการปฎิเสธข้อเท็จจริง หากทำเช่นนี้ต่อไปขอยืนยันว่าไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาโควิดที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน//