“เพื่อไทย” ชี้ “ประยุทธ์” ล็อกดาวน์ 29 จังหวัด แสดงถึงความล้มเหลว ห่วง ต้องล็อกดาวน์อีกนานทำเศรษฐกิจหายนะ แนะ ต้องศึกษาอู่ฮั่นให้ดีก่อนจะลอกแบบ และรักษาการส่งออก
นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. หนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ประกาศล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัด แสดงถึงความล้มเหลวที่ไม่สามารถที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้ ทั้งที่สั่งล็อกดาวน์มา 14 วัน ใน 13 จังหวัดแล้วก่อนหน้านี้ การล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ทรุดหนักอยู่แล้วให้หนักหนาสาหัสเพิ่มมากขึ้น และการล็อกดาวน์ 29 จังหวัดจะส่งผลกระทบกับประชาชนทั้งประเทศอย่างมาก
ปัญหาที่น่าห่วงคือพลเอกประยุทธ์ พยายามซื้อเวลาและเหมือนกับต้องการหลอกประชาชนว่าจะล็อกดาวน์ต่ออีกเพียง 14 วัน ทั้งๆ ที่พลเอกประยุทธ์ ทราบความจริงดีว่าการล็อกดาวน์จะต้องทำอีกเป็นระยะเวลานานหลายเดือน ทั้งนี้เพราะการระบาดครั้งนี้พลเอกประยุทธ์ ล้มเหลวอย่างมาก การระบาดของไวรัสได้กระจายแพร่ไปมากแล้วพลเอกประยุทธ์ เองก็ยังไม่สามารถแยกผู้ติดเชื้อออกมาอย่างเป็นระบบได้ โรงพยาบาลก็เต็ม พบผู้ติดเชื้อก็ไม่รู้จะนำเอาไปไว้ไหน จะนำไปกักตัวที่โรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลสนามก็เต็ม ตอนนี้พยายามปรับค่ายทหารมาเป็นโรงพยาบาลสนามตามคำแนะนำของพี่โทนี่และพรรคเพื่อไทย แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็อาจจะไม่เพียงพอ ปัญหาจึงยังวนเวียน ประกอบกับวัคซีนที่มีคุณภาพก็ยังขาดแคลนไม่สามารถนำเข้ามาให้ทันเวลาได้ จากการบริหารวัคซีนที่มั่วซั่ว จนมีข่าวคราวการทุจริต แม้กระทั่งวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐฯ ให้มายังบริหารจัดการได้วุ่นวายและขาดประสิทธิภาพมาก ดังนั้นสถานการณ์เละเทะแบบนี้จะทำให้พลเอกประยุทธ์ ไม่สามารถที่จะปลดล็อกดาวน์ได้เลยอีกเป็นเวลาหลายเดือนแต่ที่พลเอกประยุทธ์ ไม่กล้าจะบอกความจริงกับประชาชน เพราะกลัวประชาชนจะทนไม่ไหว แค่นี้คนก็ออกมาประท้วงในคาร์ม็อบที่ผ่านมาเป็นจำนวนมากแล้ว ดังนั้นจึงทำเป็นซื้อเวลาครั้งละ 14 วัน ไม่ต่างอะไรกับ “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” แต่ปาเข้าไป 7 ปีเป็นต้น แต่คราวนี้ประชาชนรู้ทันแล้ว และจะสร้างความไม่พอใจกันอย่างมาก
จากสถานการณ์ข้างต้นเชื่อได้ว่าพลเอกประยุทธ์ ทราบดีว่าจะต้องล็อกดาวน์ต่อไปอีกหลายเดือน และยังไม่ทราบเลยว่าจะปลดล็อกดาวน์ได้เมื่อไหร่ สิ้นปีจะปลดได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ ที่บอกจะเปิดประเทศใน 120 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 14 ตุลาคม ถึงวันนั้นอย่าว่าแต่เปิดประเทศเลย เปิดล็อกดาวน์ก็ยังไม่น่าจะได้ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ จนนำมาสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะทำให้ เศรษฐกิจปีนี้น่าจะต้องติดลบต่ออีกปีอย่างแน่นอน โดยจะทำให้ ธุรกิจจะเจ๊งและปิดตัวกันอีกมาก คนจะยิ่งตกงาน หนี้ครัวเรือน และ หนี้นอกระบบจะพุ่งกระฉูด พร้อมๆไปกับหนี้สาธารณะที่พลเอกประยุทธ์ ต้องกู้มาแจกแต่ไม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันรายได้ของประเทศที่ยังหาได้คือการส่งออก ที่มีการขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะใน 2 เดือนที่ผ่านมา มีการขยายตัวได้มากกว่า 40% แต่ต้องมาประสบปัญหาการติดเชื้อของคนงานในโรงงาน เพราะมีคนงานที่ได้รับการฉีดวัคซีนกันเพียง 10% เท่านั้น ซึ่งหากจะปิดโรงงานก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกได้ ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ จึงต้องเร่งแก้ไขหาวัคซีนมาเร่งฉีดให้คนงานในภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งทำการคัดกรองผู้ติดเชื้อ และเร่งทำโรงพยาบาลสนามเพื่อแยกคนติดเชื้อ ภายในพื้นที่ของโรงงาน แต่ยังคงสามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้ เพื่อไม่ให้ กระทบกับการผลิตและการส่งออก เพื่อประคองเศรษฐกิจของไทยในภาวะวิกฤตินี้
อย่างไรก็ตาม การที่พูดถึงการล็อกดาวน์ประเทศคล้ายกับโมเดลอู่ฮั่น ที่ปิดล็อกตายทั้งเมืองนั้น อยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้พิจารณาให้ดีทั้งนี้เพราะเมืองอู่ฮั่น ที่ปิดเพียงเมืองเดียวในประเทศจีน มีสัดส่วนของจีดีพีที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจีดีพีของประเทศจีน มีการคำนวณกันว่าการปิดอู่ฮั่น คราวนั้นคิดความเสียหายเป็นเพียง 0.174% ของจีดีพีประเทศจีนเท่านั้น แต่หากจะปิดเฉพาะ กทม. และ ปริมณฑลจังหวัดใกล้เคียง สัดส่วนของจีดีพีจะสูงถึง 47.5 % ของ จีดีพีไทย ถ้าล็อกดาวน์เข้มงวดแบบอู่ฮั่นความเสียหายทางเศรษฐกิจจะมากมายมหาศาลจนถึงกับหายนะได้ ซึ่งหากจำกันได้ตอนที่สหรัฐอเมริกามีการติดเชื้อกันมาก สหรัฐฯ เองก็ยังไม่กล้าที่จะล็อกดาวน์เมืองนิวยอร์ค ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนของสหรัฐฯเลย ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้ศึกษาและพิจารณาให้ดี หากตัดสินใจโดยไม่ศึกษาและพิจารณาโดยละเอียดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาลและอาจเสียหายจนไม่อาจจะรับได้
การที่ประเทศไทยต้องอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ทั้งการติดเชื้อของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นมาก และคนตายก็เพิ่มขึ้นทุกวัน เศรษฐกิจก็ทรุดโทรม ต้องมาคิดหนักว่าจะต้องล็อกดาวน์แบบไหน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความล้มเหลว ในการบริหารจัดการของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ หมดความน่าเชื่อถือแล้วและต้องออกไปได้แล้ว ยิ่งอยู่นานคนจะยิ่งทนกันไม่ไหว และจะออกมาขับไล่กันมากขึ้นสุดท้ายพลเอกประยุทธ์ ก็จะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้อยู่ดี จึงควรต้องออกไปก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายกว่านี้ ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นจะมีคนโกรธแค้นพลเอกประยุทธ์ อีกเป็นจำนวนมาก//