โฆษกเพื่อไทย แนะรัฐ เอาเวลาและภาษีมาช่วยชีวิตผู้คนก่อนจับเฟคนิวส์ จี้ดีอีเอส ทำตัวให้มีประโยชน์ ออกแอปช่วยผู้ค้าดีกว่าไล่ปิดปากประชาชน
นางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งกำชับกระทรวงดีอีเอส, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังในการป้องกันข่าวปลอมว่า ในห้วงเวลาที่ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัสในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สิ่งเดียวที่รัฐบาลควรทำคือทุ่มเทเวลา สรรพกำลังเจ้าหน้าที่ และเทคโนโลยีทั้งหมดที่มาจากภาษีของประชาชน ไปช่วยชีวิตผู้คนโดยด่วน ด้วยการเร่งรัดการแก้ปัญหาโควิดอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การบริหารจัดการ Home isolation ซึ่งผู้ป่วยมีความพร้อม แต่ไม่ได้รับยาในการรักษา ทำให้เกิดกรณีที่ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่ขาดแคลนยามีอาการหนักขึ้น และไม่มีแพทย์ให้คำปรึกษาในระบบ Telemedicine รวมถึงปัญหาคนเข้าไม่ถึงระบบอีกจำนวนมาก จึงอยากเรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่ทั้งหลายในรัฐบาลไปดำเนินการช่วยเหลือ หรือระดมความร่วมมือในการเร่งรักษาและดูแลชีวิตผู้คนโดยด่วน เพราะชีวิตของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การทุ่มสรรพกำลังไปตามจับ ตามสืบ กับการทุ่มสรรพกำลังไปดูแลประชาชนได้ผลต่างกัน และส่วนตัวยังสงสัยว่ารัฐบาลนี้มีปัญหาในเรื่องการจัดลำดับความสำคัญเป็นอย่างมาก เช่น กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซื้อผลไม้ให้เจ้าหน้าที่การแพทย์ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วสิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องการมากที่สุดคือวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ อุปกรณ์ป้องกัน เบี้ยเลี้ยงที่สมเหตุสมผล และต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพในการบริหาร เพื่อทำให้ระบบสาธารณสุขยังเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่รุนแรงหนักหน่วงในตอนนี้
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า กรณีที่รัฐบาลมุ่งมั่นตามจับเฟคนิวส์มากเป็นพิเศษด้วยความเป็นห่วงประชาชนจะได้รับข่าวสารที่สับสน จึงควรดำเนินการกับผู้ที่อยู่ในฝั่งรัฐบาลก่อน คือผู้มีตำแหน่งทางการเมืองบางคน ออกมาระบุว่าการตายข้างถนนเป็นการจัดฉาก ทั้งที่ชีวิตของประชาชนเป็นการสูญเสียจริง จากความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐอย่างแท้จริง แต่คนของรัฐบาลอยากจะพูดอะไร ก็ได้โดยที่ไม่มีความรับผิดชอบทางกฎหมายใช่หรือไม่ กับประชาชนตาดำๆ ที่อดทนมามากกับรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้ กลับเร่งปิดปาก แจ้งความทันที วันนี้ประชาชนต้องอดทนกับสภาวะที่ยากลำบากหนักหนาพอแล้ว รัฐบาลควรปรับทัศนคติใหม่ ด้วยการเข้าอกเข้าใจประชาชนให้มากขึ้น ตั้งใจทำงานแบบที่เป็นลูกน้องประชาชน ไม่ใช่เจ้านายประชาชน
ส่วนกรณีที่มีมาตรการซื้ออาหารจากร้านภายในห้างสรรพสินค้า และเปลี่ยนไปเปลี่ยนมานั้น นางสาวอรุณี กล่าวว่า มาตรการนี้ได้สร้างความสับสนและความยากลำบากต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก รวมทั้งยังไม่แน่ใจว่ามาตรการนี้ออกมาเพื่อช่วยป้องกันโรคระบาดหรือเพิ่มภาระให้กับประชาชนกันแน่ ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงความไม่เป็นโล้เป็นพายของรัฐบาล จึงอยากให้คนของรัฐบาลไปคุยกันภายในให้รู้เรื่องก่อน อย่าเอาแต่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจากการคิดไม่รอบคอบ กระทรวงดีอีเอสต้องออกแบบแอปพลิเคชันหรือใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ ดีกว่าเอาเวลาไปตามจับเฟคนิวส์ ที่ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้ประชาชนนอกจากเอาใจรัฐบาล