“วิชาญ” แจง ศบค.โฆษณา Home Isolation สวยหรู แต่ระบบภาครัฐไม่พร้อม งบประมาณไม่มา โยนภาระระดับปฏิบัติงาน


จากกรณีที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)จัดระบบการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่บ้าน หรือ Home Isolation โดยเชิญชวนให้คลินิกเอกชนและคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่งเป็นหน่วยปฐมภูมิภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเข้าร่วมดูแลประชาชน แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นคำโฆษณาสวนหรูเกินความจริง เพราะหลังจากประกาศทำ Home Isolation ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมจนบัดนี้ ยังพบว่าระบบการทำงานของสปสช. ยังไม่เอื้ออำนวยความสะดวกให้กับคลินิกเอกชนและคลินิกชุมชนอบอุ่นที่เข้าร่วมโครงกการกล่าวคือ

ประการแรก ศบค.บอกว่าคลินิกเอกชนและคลินิกชุมชนอบอุ่น สามารถรับรักษาผู้ติดเชื้อที่ถือสิทธิบัตรทอง สิทธิบัตรประกันสังคม สิทธิบัตรข้าราชการ และสิทธิอื่นที่ไม่ได้ครอบคลุม 3 สิทธิข้างต้นนี้ (เช่น คนหลบหนีเข้าเมือง แรงงานผิดกฎหมาย คนไร้สัญชาติ คนชายขอบเร่ร่อน ไม่มีเลขบัตรประชาชน เป็นต้น) ต้องครอบคลุมให้ทุกสิทธิ แต่ในความจริง ในระบบฐานข้อมูลออนไลน์ของสปสช. ที่เชื่อมโยงกับคลินิกเอกชนและคลินิกอบอุ่นที่เข้าร่วมโครงการ ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว กลับยังไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลให้กลุ่มผู้ถือบัตรประกันสังคมและบัตรข้าราชการและสิทธิอื่นๆรวมกันเป็นฐานข้อมูลเดียวได้ เมื่อข้อมูลไม่ออนไลน์เชื่อมโยงกัน ก็ลงทะเบียนเข้าระบบไม่ได้ แต่ผู้ติดเชื้อมาแล้ว ต้องรับรักษา สภาพความจริงที่เกิดขึ้นหน้างานคือ เจ้าหน้าที่ต้องให้ผู้ป่วยลงทะเบียนบนกระดาษถ่ายบัตรประชาชน ถ่ายบัตรยืนยันผลตรวจติดเชื้อเป็นกระดาษ นี่คือปัญหาด่านแรก

ประการสอง กรณีผู้ป่วยที่ถือสิทธิบัตรทองมีสิทธิในระบบของ สปสช.เอง แม้สามารถบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบเพื่อเริ่มต้นการรักษา Home Isolation แต่ตัวระบบกลับออกแบบมาให้ผู้ป่วยติดเชื้อ ที่ส่วนมากไม่รู้เรื่องออนไลน์อะไร ต้องไปกดตอบรับยืนยันสิทธิ ซึ่งชาวบ้านเขาไม่มีความรู้ เข้าไม่เข้าใจระบบ ไม่เข้าถึงเทคโนโลยี ก็กลายเป็นมีปัญหาคาอยู่ในระบบ สร้างภาระงานให้เจ้าหน้าที่ต้องช่วยเข้าไปกรอกข้อมูล กดยืนยันข้อมูลให้ทีละคนกว่าจะลงทะเบียนยืนยันสำเร็จใช้เวลาหลายวัน

ประการสาม การที่จัดให้มีการติดต่อกับแพทย์พยาบาลกับผู้ติดเชื้อ ข้อเท็จจริงคือ บางหน่วยที่รับไปแล้วไม่สามารถติดตามดูแลผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึงรวดเร็ว รวมถึงอุปกรณ์ ยาเวชภัณฑ์ อาหาร ที่ล่าช้า เมื่อระบบจับคู่ผู้ติดเชื้อและคลินิกล่าช้า ก็ยิ่งทำให้ผู้ติดเชื้อที่มีอาการในระดับสีเขียว ยกระดับไปเป็นสีเหลือง หรือสีแดงได้ ดังนั้นจึงควรให้ผู้ติดเชื้อสามารถเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่อยู่ในชุมชนของตนเองเพื่อความรวดเร็วในการเข้าสู่ระบบดูแลตนเอง

ประการสุดท้าย เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระบบไปแล้ว ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทุกวัน แต่ปรากฏว่า ศบค. สำรองค่าใช้จ่ายมาให้ช้ามาก ปัญหาคือคลินิกที่มาช่วยแบ่งเบาภาระให้รัฐแต่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากแทนรัฐ จึงเป็นเหตุให้คลินิกเอกชนและคลินิกชุมชนอบอุ่นไม่เข้าร่วมโครงการ

“อยากเสนอว่า ขอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ต้องเลือกและตัดสินใจ ว่าจะใช้กองทุนใดจ่ายเพียงกองทุนเดียว อาจเลือก สปสช. เพราะ กองทุนสปสช. มีระบบเบิกจ่ายที่ดี รวดเร็วสุด ให้ทุกสิทธิเบิกจ่ายในกองทุนนี้ และในทางบัญชีก็ให้ระบบราชการเคลียร์ระบบกันเอง ไม่ใช่ระบบภาครัฐไม่พร้อม งบประมาณที่กู้ไปก็ไม่เอามาใช้ให้ถูกที่ถูกทาง แต่โยนความไม่พร้อมให้เป็นภาระแก่ผู้ปฏิบัติงาน เพราะแทนที่จะเอาเวลาไปดูแลผู้ป่วยโควิด กลับต้องเอาเวลามาทำเอกสารวุ่นวายเพราะความไม่พร้อมและโยนภาระของภาครัฐ