เด็ก 6 ชีวิตเคว้ง! แม่ติดโควิดเข้าโรงพยาบาล มีเงินติดบ้านไม่ถึง 100 บ. ทารกไม่มีแม้แต่นมจะกิน “พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์” ยื่นมือช่วย พร้อมถามรัฐ “หมดโควิดแล้วเด็กเหล่านี้จะอยู่กันอย่างไร”
นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ อดีตผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. พรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด19 ทำให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง นับวันจะรุนแรงมากขึ้น ทั้งผู้ป่วยติดเชื้อและผู้เสียชีวิตต่อวันรุนแรงน่าวิตก ในเรื่องดังกล่าวตนได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนในเขตบางขุนเทียน กทม. พบปัญหามากมายที่เป็นข้อผิดพลาดในการบริหารด้านสาธารณสุขและของรัฐบาล ทั้งเรื่องการประสานการจัดส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล การคัดกรองผู้ป่วย หรือแม้การช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มต่างๆ ทุกมาตรการถือว่าสอบตก ส่วนที่ตนเป็นห่วงมากคือกลุ่มประชาชนเปราะบางโดยเฉพาะเด็ก ซึ่งตนได้เข้าไปพบเด็กน้อย 6 ชีวิต ที่แม่ติดเชื้อโควิด และต้องไปรักษาตัวที่ รพ.สนาม จำเป็นต้องทิ้งลูกทั้ง 6 คน ซึ่งคนโตมีอายุแค่ 11 ขวบ และคนเล็กสุดไม่ถึงขวบไปไว้กับน้าข้างบ้าน โดยน้าเองก็ติดเชื้อโควิด เพิ่งกลับออกมาจากรพ. และต้องกักตัวอยู่กับบ้าน เขาไม่มีรายได้ เด็กต้องดื่มนม แต่ในบ้าน ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะหุงกิน ต้องอยู่กันแบบแร้นแค้น อดบ้าง มีกินบ้าง เมื่อถามน้าที่ต้องดูแลหลานทั้ง 6 ชีวิต ทราบว่ามีเงินติดตัวไม่ถึง 100 บาท
นายพิพัฒน์ชัย กล่าวต่อว่า ตนได้ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจ จึงได้ประสานขอความช่วยเหลือจากเพื่อนมิตรสหาย ซื้อนม ข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำพริก น้ำปลา น้ำมัน ขนมสำหรับเด็กไปมอบให้ ทั้งหมดนี้ทำให้เขามีชีวิตที่เดินต่อได้อีกในช่วงเวลาหนึ่ง แต่สิ่งที่อยากร้องขอและอยากให้รัฐบาลทำอย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรมคือ ตนเชื่อว่าในกรณีแบบนี้มีอีกมาก ที่พ่อแม่ติดเชื้อโควิดแล้วต้องปล่อยลูกไว้ตามยถากรรม จึงอยากให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะนี่คืออนาคตของชาติ ทำเรื่องนี้ให้เป็นวาระสำคัญของกระทรวงฯ เพราะเด็กหากไร้ผู้นำครอบครัวเขาจะเดินต่ออย่างไร ขอเรียกร้องให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ เร่งสำรวจทุกพื้นที่ ทุกชุมชน ตนเชื่อว่าทั่ว กทม.จะมีคนกลุ่มนี้กว่า 10,000 คน
“ผมอยากเห็นการพัฒนางบประมาณเพื่อลงไปสู่ชุมชนที่มีระบบระเบียบและเป็นประโยชน์มากกว่าแค่การจัดซื้อถุงยังชีพลงแจกเพื่อหาเสียง ผมยังเชื่อว่ากระทรวง พม. นี้ จะเป็นกระทรวงที่สามารถช่วยเหลือสนับสนุนในการนี้ได้มาก แต่น่าเสียใจที่ผ่านมาไม่ค่อยเห็นบทบาทของบุคลากรและเจ้ากระทรวงนี้มากไปกว่าการทำอีเว้นท์เพื่อหาเสียงเท่านั้น” นายพิพัฒน์ชัย กล่าว