“พิชัย” ชี้ “ประยุทธ์” ทำไทยย้อนยุค 30 ปี เสื่อมทรุดเกินแบกต่อหลังอภิปราย ห่วง หลอกตัวเองเรื่องเศรษฐกิจในสภาจะเชื่อเองและจะแก้ปัญหาไม่ได้ แนะ หาทางลงก่อนจะเละกว่านี้
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า แม้การโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยอภิปรายความล้มเหลวของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ อีก 5 รมต. ได้เป็นอย่างดีและชัดเจน โดยเฉพาะการเปิดแผลเรื่องส่วนต่างของราคาวัคซีนซิโนแวค ที่รัฐบาลยังไม่ได้มีหลักฐานการชำระเงินมาโชว์เพื่อแสดงความโปร่งใสแต่อย่างใด จะพูดแก้ตัวมั่วๆ โดยไม่มีหลักฐานไม่ได้ ความล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีนที่ปัจจุบันก็ยังขาดแคลนอยู่ ความล้มเหลวในการควบคุมการระบาด ที่ทำให้มีคนเจ็บคนตายเป็นจำนวนมาก จนสัปเหร่อทำงานหนักกว่าผู้นำที่ทำงานจากบ้าน Work From Home นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจในแต่ละด้านที่ประชาชนสัมผัสได้เองและรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ทั้งภาคธุรกิจ และภาคการเกษตร จนทำให้พลเอกประยุทธ์ ได้คะแนนไว้วางใจรองบ๊วย แต่ได้คะแนนไม่ไว้วางใจมากที่สุด แสดงให้เห็นว่ามี สส. ฝั่งรัฐบาลเองที่รับไม่ได้กับความล้มเหลวในการบริหารของพลเอกประยุทธ์ จึงทำให้มีผลการลงคะแนนออกมาเช่นนั้น อีกทั้งนักการเมืองอาชีพต่างรู้กันดีว่าถ้ายังดันทุรังแบกผู้นำที่ล้มเหลว การที่จะชนะการเลือกตั้งในครั้งหน้าคงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ทั้งนี้ ในช่วงการอภิปรายก่อนหน้าการลงคะแนนโหวตไม่กี่วัน มีกระแสการโหวตเพื่อจะไม่เอาพลเอกประยุทธ์ ในฝั่งของรัฐบาลเองอย่างรุนแรง ขนาดพลเอกประยุทธ์ ยังต้องออกมาตัดพ้อเองว่าการโหวตล้มนายกฯถือว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษ พร้อมกับมีกระแสการแจกกล้วยเพื่อล้มนายกฯ และต่อมาก็มีกระแสข่าวการแจกกล้วยเกทับของฝั่งนายกฯ เพื่อจะรักษาสถานะของตนเองไว้ พร้อมกับที่สื่อมวลชนได้จับภาพชายชุดดำแบกกระเป๋าดำหลายใบซึ่งเชื่อว่าน่าจะบรรจุกล้วยกระเป๋าละ 5 หวี เพื่อแจกให้กับ ส.ส. เพื่อจะดึงคะแนนกลับ เรื่องดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะเป็นการกระทำย้อนยุคไปในอดีตกว่า 30 ปีที่แล้ว ที่มีพรรคเล็กพรรคน้อยจำนวนมาก และเวลาจะโหวตก็ต้องแจกกล้วยกันแบบนี้ ภายในสภากันเลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือไม่ใช่เรื่องแปลก ท่านประธานสภาฯ ก็ทราบดีและเคยมีประสบการณ์พบเห็นในเรื่องแบบนี้ในอดีต จึงได้สั่งให้มีการสอบสวน ซึ่งถ้าไม่มีมูลคงไม่ต้องมีการสอบสวนอย่างแน่นอน และเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ และ ส.ส. ที่ได้รับกล้วยหรือไม่ก็ตามย่อมรู้แก่ใจดี แต่ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อไปแล้ว และยิ่ง iO ของรัฐบาลมาแก้ตัวมั่วๆ เรื่องนี้ว่าทำไมไม่จ่ายเช็ค หรือโอนเงินเข้าบัญชี พร้อมทั้งการเปิดรูปว่าเป็นกระเป๋าเอกสาร ยิ่งทำให้คนยิ่งเชื่อกันมากขึ้น เพราะถ้าเป็น กระเป๋าเอกสารจริงทำไมถึงต้องขนเฉพาะวันนั้น วันอื่นไม่เห็นขนกันเป็นต้น ยิ่งผลการโหวตออกมาอย่างที่ปรากฏ ก็ยิ่งยืนยันว่าจะต้องมี ส.ส. อีกจำนวนมากที่ต้องการโหวตไม่เอาพลเอกประยุทธ์ แต่ก็ถูกห้ามไว้ หรืออาจได้กล้วยไป การกระทำดังกล่าวที่ทำให้การเมืองไทยย้อนยุคกลับไปกว่า 30 ปีนี้ สื่อหลักญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชียได้เตือนไว้ก่อนแล้วตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จและก็กลายเป็นจริง ซึ่งแสดงถึงความเสื่อมโทรมของการเมืองไทยที่เกิดจากรัฐธรรมนูญที่บิดเบี้ยว
ในประเด็นความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ที่พรรคเพื่อไทยอภิปรายในสภา พลเอกประยุทธ์กลับตอบไม่ตรงประเด็น อีกทั้งชี้แจงไม่ได้เพราะเป็นความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริงในทุกภาคส่วน ทั้งเศรษฐกิจภาพรวมที่ย่ำแย่ ภาคการท่องเที่ยวที่ทรุดหนัก ภาคอุตสาหกรรมและ SMEs ที่ต้องปิดตัว ความล้าหลังของเศรษฐกิจดิจิตอลในไทย รวมถึงปัญหาภาคการเกษตร นอกจากนี้การที่พลเอกประยุทธ์ ส่งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงานออกมาแก้ตัวแทน ยิ่งมั่วไปกันใหญ่ เหตุผลของการแก้ตัวของนายสุพัฒนพงษ์ ไม่ต่างอะไรกับที่นายสมคิด นำมาแก้ตัว ซึ่งตรงข้ามกับความจริงที่ประชาชนได้สัมผัสอยู่ แต่แย่กว่าตรงที่เศรษฐกิจหลังโควิดหนักกว่าช่วงเศรษฐกิจสมัยนายสมคิด มาก และเครดิตของนายสุพัฒนพงษ์ก็ยังต่ำกว่านายสมคิด ที่ขนาดล้มเหลวไปแล้วมาก การอ้างเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ขยายได้ 7.5% ทั้งที่ไตรมาส 2 ปีที่แล้วติดลบมากถึง -12.2% เท่ากับเป็นความน่าอับอายมากกว่าจะเป็นผลงาน
การลงทุนที่หดหายมาตลอด 7 ปี และก็ยังแย่อยู่แต่พยายามตะแบงว่าไปได้ดี โดยอ้างตัวเลขการขอบีโอไอว่ามี 3 แสนกว่าล้านบาทในครึ่งปีแรก ซึ่งจะมีการลงทุนจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ในขณะที่สมัยก่อนปฏิวัติตัวเลขการขอส่งเสริมบีโอไอมีถึง 1.45 ล้านล้านบาท ในปี 2555 และ 1.1 ล้านล้านบาทในปี 2556 แถมยังอ้างว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยแย่เพราะทุกประเทศเศรษฐกิจแย่หมดโดยไม่ได้ศึกษาเลยว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะขยายได้ถึง 5-6% เลย โดยสหรัฐอาจขยายได้ถึง 7% ประเทศจีนจะขยายได้ 6-7-% โดยครึ่งปีแรกจีนขยายตัวได้ถึง 12.7% อีกทั้งปีที่แล้วเศรษฐกิจจีนไม่ได้ติดลบและขยายตัวได้ 2.3% ทั้งที่มีวิกฤตไวรัสโควิด
อีกทั้งการที่อ้างถึงบริษัทเครดิตเรตติ้ง Moody’s ยังคงเรตติ้งไทยคงเดิม ก็เพราะไทยยังมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศในระดับที่สูงถึง 2.42 แสนล้านเหรียญ ซึ่งเป็นบุญเก่าที่สะสมมาจากหลายรัฐบาลในอดีต ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจไทยดีแต่อย่างใด คงไม่มีใครที่น่าเชื่อถือจะกล้าบอกว่าเศรษฐกิจไทยดีได้ในภาวะที่ไทยมีการขาดดุลแฝด (Twin Defiicit) คือ ขาดดุลทางการคลัง (ประมาณ 5% ของจีดีพี) และ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (ประมาณ 2% ของจีดีพี) ตามที่สำนักข่าว Bloomberg รายงาน ดังนั้นจึงอยากให้นายสุพัฒนพงษ์ ได้ศึกษาข้อมูลก่อนตอบในสภา เพราะข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ยิ่งจะบั่นทอนความเชื่อมั่นของพลเอกประยุทธ์ อีกทั้งหากเชื่อข้อมูลผิดๆ ตามที่พูดจริงจะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เลย ประชาชนจะยิ่งลำบาก
ดังนั้น จากสภาวการณ์ที่เป็นอยู่ ทั้งการเมืองที่ง่อนแง่นในพรรคพลังประชารัฐเอง ที่รอวันแตกหัก การควบคุมการระบาดที่ยังคุมไม่ได้จริง คนเจ็บคนตายยังสูงมาก แม้จะพยายามตรวจน้อยลงเพื่อให้ตัวเลขลดลง วัคซีนคุณภาพยังขาดแคลน เศรษฐกิจมีแต่จะทรุดลงเรื่อยๆ อีกทั้ง ประชาชนที่ไม่พอใจพลเอกประยุทธ์ ออกมาชุมนุมประท้วงกันเป็นจำนวนมากและออกมาแทบทุกวัน พลเอกประยุทธ์ ควรจะต้องหาทางลงให้เร็วที่สุด ไม่มีทางเลยที่พลเอกประยุทธ์ จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ มีแต่จะแย่ลง ยิ่งลากต่อไปยิ่งเสื่อมถอย ประชาชนจะยิ่งทนกันไม่ไหว สุดท้ายพลเอกประยุทธ์ อาจจะไม่มีพื้นที่ยืนในประเทศไทยได้เลย จึงอยากขอเตือนไว้