“สุทิน” เตือนสติ ส.ว. อย่าขวางการสร้างประชาธิปไตย แนะพี่น้องประชาชนช่วยกันจับตา ความขัดแย้งภายในรัฐบาล-พรรคพลังประชารัฐ พาลคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉวยโอกาสสืบทอดระบอบประยุทธ์
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน กล่าวถึงความสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในวันที่ 10 กันยายนนี้จะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง ให้กลับมาใช้ระบบบัตรเลือกตั้งสองใบเหมือนรัฐธรรมนูญในปี 2540 และ 2550 รวมทั้งแก้ไขจำนวน ส.ส.ให้เป็นแบบ ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งถือเป็นบันไดขั้นแรกของการคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง
1. การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการแก้ไขตามความผูกพันของรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ที่มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เนื่องจากขณะนั้นพี่น้องประชาชนทักท้วงกันเป็นจำนวนมากในหลายประเด็น โดยเฉพาะในช่วงการทำประชามติ หัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช. ขณะนั้นก็อ้างกับพี่น้องประชาชนว่าให้รับๆ กันไปก่อนแล้วค่อยมาแก้ไขทีหลัง
2. เมื่อมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีปัญหาเกิดขึ้นจริงตามที่หลายฝ่ายทักท้วง ทำให้ได้พรรคเล็กพรรคน้อย เป็นเบี้ยหัวแตกเต็มไปหมด ได้รัฐบาลผสมมากที่สุดในโลก มีการย้ายพรรค ยุบพรรคแบบพิสดาร และที่ร้ายแรงที่สุดคือเปิดโอกาสให้มีการใช้เงินใช้ทอง ลักษณะประชาธิปไตยแบบกล้วยๆ แบบที่เพิ่งเห็นกันเมื่อไม่กี่วัน
3. ที่ผ่านมารัฐบาลก็รับรู้ปัญหาต่างๆ เป็นอย่างดี เพราะในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ข้อ 12 ก็ได้กำหนดเอาไว้ว่าจะมีการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อยู่ด้วย
4. ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยได้พยายามดำเนินการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในทุกหนทาง เพื่อคืนประชาธิปไตยให้กับพี่น้องประชาชน
– พรรคเพื่อไทยเคยยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มายกร่าง ซึ่งรัฐบาลและ ส.ว. บอกว่าทำไม่ได้ โดยอ้างว่าไม่สามารถร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้
– จากนั้นพรรคก็ได้ยื่นแก้รายมาตรา ที่หยิบยกขึ้นมาคือเรื่องระบบเลือกตั้ง ซึ่งทุกคนบอกว่าจุดที่เป็นปัญหา คือ บัตรเลือกตั้งใบเดียว ก็ตกไปในวาระ 3
– ครั้งนี้เป็นการยื่นแก้ไขรายมาตราครั้งที่สองของพรรค เป็นแบบแก้รายมาตรา แต่ในการพิจารณาวาระ 1 ส.ว. ก็ลงมติเอาฉบับของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแก้ไขให้เป็นแบบบัตรเลือกตั้งสองใบ และ ส.ส. 400+100
5. ที่ประชุมรัฐสภาจะพิจารณาในวันที่ 10 กันยายน นี้เป็นทางแยกสำคัญ 2 ทาง คือ ถ้าผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ก็จะเป็นบัตรเลือกตั้งสองใบ เหมือนรัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ว่าจะเอาหรือไม่ ถ้าผ่านก็จะเป็นบัตรสองใบ ส.ส. เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน แต่ถ้าไม่ผ่าน ก็จะเป็นบัตรเลือกตั้งใบเดียวเหมือนเดิม ซึ่งการเมืองก็จะสภาพเดิม คือ พรรคเล็กพรรคน้อย พรรคดาวกระจาย เต็มไปหมด และจะได้รัฐบาลผสมที่มี 20-30 พรรค
6. พรรคเพื่อไทย มองว่า ระบบเลือกตั้งที่เป็นบัตรเลือกตั้งสองใบ ได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชนว่าเป็นระบบเลือกตั้งที่เหมาะกับสังคมไทยที่สุดนับตั้งแต่เราได้ทดลองระบบเลือกตั้งแบบต่างๆ มา ทำให้ได้รัฐบาลเสียงข้างมาก ที่มีเสถียรภาพ มั่นคงและเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งที่มาของระบบเลือกตั้งแบบบัตรเลือกตั้งสองใบ ถูกออกแบบโดย สสร. ที่มาจากประชาชน ซึ่งทำให้การเมืองเข้ารูปเข้ารอย เป็นเอกภาพมีพลังในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาประเทศ
7. ที่บอกกันว่า ระบบเลือกตั้งแบบบัตรเลือกตั้งสองใบ พรรคเพื่อไทยจะได้เปรียบนั้นไม่น่าจะจริง ถ้ามองด้วยความเป็นธรรม แม้ระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคเพื่อไทยก็ชนะเลือกตั้งเป็นอับดับที่ 1 แม้จะส่งผู้สมัคร ส.ส.เพียง 250 เขต ไม่ได้ส่งผู้สมัครทั้งประเทศ
8. การตัดสินโดยการลงมติของรัฐสภา ในวันที่ 10 กันยายน พี่น้องประชาชนจับตาอยู่ ซึ่งปัจจัยสำคัญ คือ รัฐธรรมนูญบังคับไว้ว่าจะต้องได้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 คือจำนวน 84 เสียง การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงจะสำเร็จ ต่อให้ ส.ส.ทั้งสภา 500 คน ลงมติเห็นชอบทั้งหมด แต่ไม่ได้เสียง ส.ว. ครบ 84 เสียง การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่ผ่าน ดังนั้นจะผ่านหรือไม่จึงอยู่ที่ ส.ว.
9. เมื่ออ่านใจ ส.ว. ว่าจะตัดสินใจไปในทางใด ก็ต้องพูดกันถึงข้อเท็จจริงว่า ส.ว. ก็คงจะสนองตอบต่อรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญวันนี้ จะผ่านหรือไม่ผ่านอยู่ที่ ส.ว. และ ส.ว.จะลงแบบไหน ก็อยู่ที่คนตั้ง ส.ว.ด้วยว่า อยากได้แบบไหน
– ถ้าประเมินว่าพรรคพลังประชารัฐ คือ ฝ่ายรัฐบาล แล้วพรรคพลังประชารัฐ ก็เป็นผู้ที่ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งด้วยก็น่าจะสนับสนุนการแก้ไขบัตรเลือกตั้งสองใบ แต่ถ้าคิดให้รอบคอบกว่านั้น ก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้ คือ พรรคพลังประชารัฐ ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นบัตรสองใบมา แต่สุดท้ายก็ถูกคว่ำ ‘น้ำใสเปลี่ยนใจปลา กาลเวลาเปลี่ยนใจคน’ ดังนั้นพี่น้องประชาชนต้องช่วยกันจับตา
– สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าเสถียรภาพภายในพรรครัฐบาลมีปัญหา วันนี้รัฐบาลก็ไม่มีเอกภาพ หลังเหตุการณ์ ‘แจกกล้วยกลางสภา’ ภายในพรรครัฐบาลมีความเห็นไม่ตรงกันอยู่ ก็ต้องประเมินว่า เขาจะหาจุดลงตัวที่ตรงไหน วันนี้ฟังดูแล้ว นายกฯ ไปอีกแบบ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็ไปอีกแบบหนึ่ง
10. ขอเรียกร้องให้ ส.ว. และผู้มีอำนาจ คิดถึงพี่น้องประชาชนบ้าง วันนี้สถานการณ์ต่างๆ ของประเทศที่วิกฤต การแก้ไขปัญหาประเทศล่าช้า ไม่สบผลสำเร็จและพี่น้องประชาชนต้องยากลำบากในทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้เสถียรภาพ ที่มาจากรัฐธรรมนูญนี้ ดังนั้นการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงขอให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด อย่าขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยและคืนโอกาสให้พี่น้องประชาชน ฉวยโอกาสคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อต่ออายุรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้อยู่ในอำนาจต่อไป