“เพื่อไทย” จี้ “ประยุทธ์” ศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจก่อนให้โฆษกพูดมั่ว จนหมดความน่าเชื่อถือ ชี้ ไทยมีปัญหาเศรษฐกิจแทบทุกด้าน ทำให้ ประเทศหนี้ล้น ประชาชนหนี้ท่วม แนะ ช่วยภาคอุตสาหกรรม และ เร่งฉีดวัคซีนเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ
นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองคาย เขต 1 และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ให้โฆษกรัฐบาลออกมาแถลงว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะพุ่ง ทิศทางกำลังไปได้ดี ซึ่งน่าจะตรงข้ามกับความเป็นจริงที่ประชาชนกำลังลำบากกันอย่างมาก การอ้างว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ขยายได้ 7.5% ทั้งที่ เศรษฐกิจไตรมาส 2 ปีที่แล้วติดลบมากถึง -12.2% จะแปลว่าดีได้อย่างไรเพราะยังไม่เท่าที่ตกมาเลย การที่ไทยขยายตัวมากกว่าประเทศอื่นเพราะปีที่แล้วเศรษฐกิจประเทศอื่นไม่ได้ตกหนักเหมือนเศรษฐกิจไทย ดังนั้นจึงไม่อยากให้พูดมั่ว
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัญหามากมายเช่น ปัญหาการฟื้นตัวช้าที่สุดในโลก ปัญหาการขาดดุลทางการคลังและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดพร้อมกัน แม้การส่งออกจะเพิ่มขึ้น แต่การนำเข้ากลับเพิ่มสูงกว่า และ การท่องเที่ยวหายไปเกือบหมด ทำให้ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 3.43 แสนล้านบาท หนี้สาธารณะไทยต้องขยายเป็น 70% ซึ่งพลเอกประยุทธ์ไม่รู้จะหาเงินมาใช้หนี้ได้อย่างไร หนี้ครัวเรือนสูงถึง 14.13 ล้านล้านบาท หรือ สูงถึง 90.5% และ จะพุ่งถึง 93% ในปลายปีนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีปัญหาเต็มไปหมด เป็นผลให้ประเทศหนี้ล้น ประชาชนหนี้ท่วม ไม่สามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้ทั้งในระดับประเทศและในภาคครัวเรือน ดังนั้น จึงอยากให้ศึกษาก่อนพูด และการอ้างว่ามีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น น่าจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะการลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศของไทยลดลงมาตลอด
ทั้งนี้ จากการเปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนสิงหาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 76.8 ปรับตัวลดลงจากระดับ 78.9 ในเดือนกรกฏาคม โดยค่าดัชนี ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 16 เดือนนั้น ทำให้เห็นถึงการบริหารงานที่บกพร่องของรัฐบาล โดยเฉพาะในเรื่องการควบคุมที่เข้มงวด แต่ขาดการวางแผนด้านเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง
วันนี้เครื่องยนต์ตัวสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของประเทศ อย่างภาคอุตสาหกรรม ออกมาเรียกร้อง ขอความช่วยเหลือจากรัฐ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยาผู้ประกอบการ ในห่วงโซ่อุปทานการผลิต การเร่งให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุน การกำหนดกฎเกณฑ์การพักชำระหนี้ การตั้งกฎเกณฑ์สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อันเป็นผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ไปจนถึงตอนนี้ ออกมาเรียกร้องให้รัฐสนับสนุน ในเรื่อง ค่าใช้จ่าย ในการตรวจ ATK ซึ่งตอนนี้กลายเป็น 1 ในต้นทุนที่สำคัญของผู้ประกอบการไปแล้ว แต่รัฐก็ยังไม่ได้บทสรุปที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน วันนี้ยิ่งช้า ผู้ประกอบการก็มีแต่จะล้มหายตายจากมากขึ้น และระบบเศรษฐกิจโดยรวม อาจจะไม่มีทางกลับมาที่จุดเดิมอีกเลยก็ได้ โดยเฉพาะสำหรับ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
วันนี้หากรัฐไม่สามารถที่จะดูแลได้ทั่วถึง รัฐก็ควรจะมองเฉพาะจุด หรือเล็งไปที่จุดที่สามารถสร้างตัวเลขทางเศรษฐกิจได้ทันที ยกตัวอย่างเช่นการค้าชายแดน ถ้าวันนี้เราสามารถทำให้เกิดตัวเลขหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้ทันที ก็จะส่งผลให้ทั้ง ภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ SMEs สามารถขยับตัวได้ โดยที่ผ่านมา หากไปดูตัวเลขการค้าชายแดนในภาวะปกติ จะเห็นได้ว่ามีมูลค่าเป็นแสนๆล้านบาท แม้ในสภาวะที่มีการปิดประเทศ แต่ตัวเลขทางเศรษฐกิจในการค้าชายแดนจุดต่างๆ ก็ยังพอดำเนินการได้
วันนี้รัฐกำลังจะดำเนินการเปิด Sandbox ชายแดนในหลายๆจุด สิ่งที่จะต้องรีบเตรียมและแก้ไขก็คือ การนำบทเรียนที่เราได้จากการทำ Sandbox ที่ภูเก็ต และอีกหลายๆที่มาปรับใช้และเรียนรู้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การฉีดวัคซีน การเก็บรายละเอียด ในระดับการปฏิบัติหน้างาน เพราะหลายครั้ง ไม่ค่อยสอดคล้อง และไม่สามารถปฏิบัติได้จริง หรือบางที ก็ไม่ชัดเจน ดังนั้น ควรจะต้องมีการเก็บรายละเอียดเชิงลึกหน้างานหลังจากได้มีการดำเนินงานแล้ว และจะต้องไม่เป็นภาระหรือเพิ่มต้นทุนที่มากจนเกินไปสำหรับผู้ประกอบการ เพราะทุกวันนี้ แค่จะให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจอยู่ได้ ก็ถือว่ายากแล้ว วันนี้รัฐต้องฟังภาคเอกชนให้มาก เรื่องการป้องกันโรคก็เป็นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ต้องไม่มองข้ามอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องปากท้อง และถ้าบริหารจัดการให้ดี ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้ง 2 อย่าง สามารถดำเนินการไปพร้อมๆกันได้
ยิ่งวันยิ่งพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจนว่าพลเอกประยุทธ์ ไม่มีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ คิดได้เพียงแต่การแก้ตัวมั่วๆ หวังเพียงแค่จะหลอกประชาชน ซึ่งหมดสมัยนานแล้ว การพูดมั่วไม่ได้ทำให้ท้องอิ่ม ไม่ได้ทำให้มีเงินในกระเป๋ามาเลี้ยงครอบครัวได้ ภรรยาและลูกลำบากกันแทบทุกครัวเรือน ถ้ายังคิดได้แค่แก้ตัวมากกว่าจะแก้ไข ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้และควรจะแก้ตัวเองออกไปจะดีกว่ามาก เพราะปัญหาของพลเอกประยุทธ์ก็ไม่ได้น้อยกว่าปัญหาประเทศ โดยเฉพาะความล้มเหลวในทุกด้านรวมถึงปัญหาในพรรคพลังประชารัฐที่แค่รอวันแตกสลายกันเท่านั้น