เพื่อไทย เตือนรัฐระวังระเบิดเวลาชาวนาทนไม่ไหวเหตุข้าวถูก ปุ๋ยแพง เกษตรกรมองไม่เห็นอนาคต จวกปฏิรูปเกษตรล้มเหลวแนะเร่งแก้ด่วน
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา ประธาน ส.ส. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์ข้าวในประเทศกำลังเข้าขั้นวิกฤต เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือกำลังประสบปัญหา ไม่มีผู้รับซื้อข้าวพันธุ์ กข.15 และข้าวหอมมะลิ ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เฉพาะในจังหวัดพะเยาซึ่งมีพื้นที่ปลูกข้าว 6 แสนไร่ คาดว่าจะมีข้าวออกสู่ตลาด 3 แสนตันข้าวเปลือก จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกข้าว 1 ล้านไร่ คาดว่าจะมีข้าวออกสู่ตลาด 6 แสนตันข้าวเปลือก ทั้งหมดยังไม่มีโรงสีรับซื้อข้าวที่จะออกสู่ตลาดได้ เนื่องจากโรงสีกว่า 80% ได้ปิดกิจการลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจ จากเดิมที่พะเยามีโรงสี 30 แห่ง ปิดกิจการเหลือ 3 แห่ง เชียงรายเคยมีโรงสี 40 – 50 แห่ง ปิดกิจการจนเหลือ 6 แห่ง ส่วนโรงสีที่ยังดำเนินกิจการอยู่ได้มีศักยภาพไม่เพียงพอที่จะรับซื้อข้าวในระบบ เพราะยังมีข้าวค้างสต๊อกที่ไม่มีตลาดรับซื้ออยู่ในโรงสีอีกจำนวนมากซึ่งการเก็บข้าวคือต้นทุน ขณะเดียวกันราคารับซื้อข้าวยังตกต่ำ จากเดิมราคารับซื้อข้าวหอมมะลิอยู่ที่กิโลกรัมละ 17 บาท ลดลงมาเหลือกิโลกรัมละ 8 บาท ซึ่งสวนทางกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย และค่าการขนส่งข้าว สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดถือเป็นระเบิดเวลา ที่กำลังจะบานปลายประทุกลายเป็นปัญหาใหญ่ข้าวล้นประเทศจนยากจะแก้ไขได้ ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวคือการหาตลาดรับซื้อข้าวให้กับเกษตรกร สนับสนุนต้นทุนการผลิตและการขนส่ง รวมทั้งสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรและโรงสีโดยด่วน โดยในระยะเร่งด่วนควรชดเชยดอกเบี้ยสินเชื่อ ธ.ก.ส.เดิมให้กับเกษตรกรก่อน
นายวิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินตลอด 7 ปี ไม่เคยมีพี่น้องประชาชน และเกษตรกรอยู่ในหัวใจแม้แต่น้อย ไม่เคยเข้ามาดูแลเอาใจใส่ แก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรผู้สร้างรายได้เข้าประเทศ นับตั้งแต่ปัญหาโรคระบาดในโคกระบืออย่างลัมปีสกิน ราคาลำไยและผลไม้ตกต่ำ และล่าสุดปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ปริมาณข้าวล้นตลาด พลเอกประยุทธ์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการได้ เช่นเดียวกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ไม่มีความสามารถในการหาตลาดให้กับสินค้าเกษตรได้เลย
“พรรคเพื่อไทยรู้ปัญหาแล้ว แต่รัฐบาลไม่เคยขยับ ผมรับคำสั่งจากพี่น้องชาวนาให้มาบอกปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้รัฐบาลเตรียมตัวแก้ไขปัญหา อยากให้ท่านหยุดก่อนครับใครจะเป็นตำแน่งนั้นตำแหน่งนี้ ชาวนาอยากรู้เพียงว่ารัฐบาลจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาข้าวอย่างไรมากกว่า ระวังระเบิดเวลาของชาวนาจะประทุ” นายวิสุทธิ์ กล่าว
นายเอกชัย ทรงอำนาจเจริญ ส.ส.อุบลราชธานี โฆษกคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลล้มเหลวอย่างยิ่งในการปฏิรูปด้านการเกษตร 7 ปีตั้งแต่รัฐประหารยึดอำนาจ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ประเทศไทยไม่มีการพัฒนาด้านพันธุ์ข้าว คุณภาพ และการเพิ่มผลผลิตต่อไร่แต่อย่างใด ซึ่งไม่ใช่ความผิดของเกษตรกร แต่เป็นความบกพร่องของรัฐบาล ที่ปล่อยให้ราคาข้าวถูก ปุ๋ยแพง ตรงข้ามกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนามและอินเดีย ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าวในตลาดโลก จากอันดับ 1 ตกมาอยู่อันดับ 3 เรียบร้อยแล้วในปี 2563 จากที่เป็นอันดับหนึ่งต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งที่มีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 66 ล้านไร่ซึ่งมากกว่าเวียดนามซึ่งอยู่ที่ 46 ล้านไร่
นายเอกชัย กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเคยมีนักวิจัยพันธุ์ข้าวที่ได้รับรางวัลมากมาย มีความสามารถในการแข่งขันอยู่ในระดับต้นๆของอาเซียน แต่วันนี้รัฐบาลมองเพียงแต่การแก้ไขปัญหาระยะสั้น ซึ่งไม่ใช่ทางออกของปัญหา เป็นเพียงการเยียวยาชั่วคราวในระยะสั้นเท่านั้น ไม่เคยวางแผนในระยะยาว ทั้งยังนิ่งนอนใจกับปัญหาของนโยบายประกันราคาข้าว ซึ่งรัฐบาลจ่ายเงินส่วนต่างประกันราคาให้ชาวนาก็มีปัญหามาโดยตลอด ทั้งการจ่ายเงินที่ล่าช้า ราคาขายข้าวของชาวนาที่อยู่ห่างไกล ขายได้ในราคาต่ำกว่าราคาเฉลี่ยที่รัฐบาลประกาศ อย่างปีที่แล้ว รัฐบาลประกาศราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 11-12 บาทต่อกิโลกรัม ชาวนาได้รับเงินจ่ายชดเชยจากการประกันรายได้เพียง 2 บาท แต่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลในหลายพื้นที่ ขายได้ในราคาเพียงแค่ 8-9 บาท เมื่อรวมกับเงินส่วนต่างที่ได้ กลับได้ไม่ถึง12 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาประกันที่รัฐบาลประกาศ ทั้งถูกหักความชื้นและสิ่งเจือปนต่าง ๆ อีก หากจะไม่ขายก็ต้องเสียค่าขนส่งเอง เป็นความลำบากของพี่น้องเกษตรกรอย่างยิ่ง เช่น ราคาข้าวเปลือกที่อำเภอเดชอุดม ปัจจุบันรับซื้อที่ 800 บาท ต่อ 120 ก.ก. หรือเฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.60 บาทเท่านั้น นอกจากราคาข้าวตกต่ำ ต้นทุนการผลิตอย่างปุ๋ยก็เพิ่มสูงขึ้น โดยพบว่าปุ๋ยยูเรีย ราคาปรับเพิ่มขึ้นจาก 560 บาทต่อกระสอบ เป็น 885 บาทต่อกระสอบ จะเห็นได้ว่าเงิน 800 บาทที่ขายข้่าวได้ ยังซื้อปุ๋ยได้ไม่ถึงกระสอบ แต่ซื้อข้าวเปลือกได้ถึง 120 กิโลกรัม ส่วนราคาขายปลีกข้าวสารปัจจุบัน อยู่ที่ราคา 1,000 บาทต่อ 48 กิโลกรัม ส่วนราคาขายปลีกเฉลี่ยกิโลกรัมละ 20- 22 บาท สิ่งที่เกิดขึ้นชาวนาจะลืมตาอ้าปากได้อย่างไร ลูกหลานจะมีเงินเพียงพอจะดำเนินชีวิตได้อย่างไร
นายเอกชัย กล่าวต่ออีกว่า วันนี้ชาวนาต้องการให้รัฐบาลพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณลักษณะที่ดีแบบข้าวหอมมะลิหรือดีกว่า แต่ผลผลิตมากกว่า เวียดนามที่เคยล้าหลังประเทศไทยเรื่องการปลูกข้าวการส่งออกข้าว วันนี้แซงประเทศไทยไปแล้ว หากรัฐบาลไม่ทำอะไรเลย จะส่งผลต่อรายได้ของชาวนา และงบประมาณที่ต้องสนับสนุนในโครงกันประกันราคาของรัฐบาลต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกที่พลเอกประยุทธ์เคยประกาศไว้แต่ไม่เคยดำเนินการหรือใช้นโยบายทางการทูตเพื่อเจรจาการซื้อขายหรือแปรรูปเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรแต่อย่างใด
“หลังรัฐประหารการพัฒนาด้านการเกษตรหยุดนิ่ง การทำงานที่เชื้องช้า ไม่สนใจเกษตรกรของรัฐบาล ส่งผลให้ราคาข้าวของไทยไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป การไม่สนใจในการแก้ปัญหาเกษตรกรมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้วันนี้เกษตรกรไทยมองไม่เห็นอนาคต ความสามารถในการแข่งขันถดถอย ท่านถามชาวนาเลยครับ ว่าวันนี้คิดถึงนายกฯคนไหนมากที่สุด นายกฯคนไหน ที่ทำให้สินค้าเกษตรมีราคา ทำให้ชาวนามีรายได้จาก ข้าวเปลือกหอมมะลิไปแตะที่ 20 บาทต่อกิโลกรัม” นายเอกชัย กล่าว
นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ อดีต ส.ส. กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยขอเป็นปากเป็นเสียงเพื่อพี่น้องประชาชน ติดตามสอบถามรัฐบาลเกี่ยวกับมาตรการดูแลข้าวที่กำลังจะออกสู่ท้องตลาดในอีกไม่กี่วันนี้ รวมทั้งอยากสอบถามรัฐบาลว่าเคยดูแลและแก้ปัญหาเกษตรกรอย่างจริงจังบ้างหรือไม่ ปัญหาพื้นที่เพาะปลูก ปัญหาดิน ปัญหาปุ๋ย ปัญหาความชื้น ปัญหาเกษตรกรขายข้าวแล้วถูกเอารัดเอาเปรียบการช่างน้ำหนักข้าว และการสัดความชื้นที่เอารัดเอาเปรียบชาวนา รัฐบาลควรดูแลอย่างจริงจังได้แล้ว
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยไม่เคยปล่อยให้ปัญหาเศรษฐกิจแย่ขนาดนี้ แม้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันเกษตรกรไทยยังได้ไม่ถึง รัฐบาลรักษาไม่ถูกอาการที่ป่วย อาชีพเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพหลักของประเทศไทยกำลังลำบาก อย่าบริหารจนล้มเหลว ทำให้อาชีพเกษตรกรหายไปจากสังคมไทยเลย