เพื่อไทยลุยมอบสิ่งของช่วยชาวนนท์น้ำเอ่อล้นท่วมบ้าน “พงศ์เทพ” ชี้เพราะโครงการบริหารจัดการน้ำรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกสกัดจากประยุทธ์ ทำประชาชนเดือดร้อนสาหัส
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ส.ส.พรรคเพื่อไทย คนรุ่นใหม่และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ลงพื้นที่น้ำท่วมมอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ณ วัดเขียน ต.บางไผ่ อ.เมือง จังหวัดนนทบุรี โดยมีนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี นายภณณัฏฐ์ ศรีอินทร์สุทธิ์ ส.ส.นนทบุรี นายมนตรี ตั้งเจริญถาวร ส.ส.นนทบุรี นายวันชัย เจริญนนทสิทธิ์ ส.ส.นนทบุรี นายมานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์ ส.ส.นนทบุรี นางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา ส.ส.กทม. นายวัน อยู่บำรุง ส.ส.กทม. นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม. นางสาวชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด นายนิทัศน์ ศรีนนท์ อดีต ส.ส.นนทบุรี นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานโซน 2 กรุงเทพ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. พรรคเพื่อไทยเข้าร่วม
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้พบว่าเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนได้รับความเสียหาย น้ำท่วมพื้นที่สวนทุเรียน จึงอยากให้รัฐบาลเยียวยาความเสียหายให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมตามความเสียหายจริง เนื่องจากในขณะนี้ประชาชนได้รับผลกระทบ 2 ต่อคือ ผลกระทบจากโควิด-19 และน้ำท่วมเข้ามาซ้ำเติมให้การดำรงชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งจริงๆแล้วประเทศไทยมีการศึกษาการบริหารจัดการน้ำท่วมน้ำแล้งมาทุกยุคทุกสมัย และมีผลการศึกษาออกมาชัดเจนผ่านการตั้งกองงานตรวจสอบแผนจากทุกหน่วยงาน จนออกมาเป็นแผนบริหารจัดการน้ำในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งน่าเสียดายที่แผนบริหารจัดการน้ำถูกยกเลิกไปโดยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ หากโครงการนี้ได้ดำเนินการต่อจนถึงปัจจุบัน ประชาชนจะไม่เจอปัญหาเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซากแบบนี้
นายพงศ์เทพ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลตั้งรับกับปัญหาอย่างล่าช้า และยังพบอุปสรรคคือการเข้าไปช่วยเหลือประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งไม่ทันการณ์กับความเสียหายของประชาชน เนื่องจากตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน มีเพียงการจัดเลือกตั้งนายก อบจ. แต่หลังจากนั้นไม่มีการจัดการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ทั้งการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี นายก อบต ผู้ว่า กทม. และผู้ว่าเมืองพัทยา ทำให้ไม่มีผู้บริหารท้องถิ่นที่ได้รับการเลือกตั้งของประชาชน มาดูแลแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที จึงขอฝากคำถามไปถึงรัฐบาลว่า มีเหตุผลอะไร จึงถ่วงการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พี่น้องประชาชนประสบปัญหาเดือดร้อนขนาดนี้ ทั้งจากผลกระทบโควิด-19 และภัยพิบัติน้ำท่วม หากเป็นสถานการณ์ปกติและมีผู้นำในท้องถิ่นที่ยึดโยงกับประชาชน คงแก้ปัญหาได้ทันท่วงที และหากสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะปกติ คงไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนทนอยู่ตำแหน่งต่อไปได้อย่างไม่ละอายต่อประชาชน
“อยากรู้ว่าพลเอกประยุทธ์จะอยู่ครองอำนาจได้กี่เดือน ประชาชนอดทนกับพลเอกประยุทธ์มานาน บริหารงานมาหลายปีแต่ประชาชนยังเดือดร้อน อยู่มาตั้งแต่ปี 2557 ผ่านมา 7 ปี ใช้งบประมาณของประเทศชาติไปเยอะแยะ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ใช้งบได้เปล่าประโยชน์จริงๆ” นายพงศ์เทพกล่าว
นายจิรพงษ์ กล่าวว่า กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ใช้งบกลาง 3,200 ล้านบาทในการจัดซื้อเครื่องสูบน้ำบรรเทาความเดือดร้อนของหลายพื้นที่ แต่จังหวัดนนทบุรีได้รับงบประมาณน้อยมาก จึงอยากเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ ยกเลิกการรวมศูนย์อำนาจ ควรกระจายอำนาจการบริหารจัดการให้ท้องถิ่นดูแลได้แล้ว ขณะที่แนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมของพลเอกประยุทธ์ยังไม่เพียงพอและไม่สะท้อนกับความเป็นจริง ซึ่งเทียบไม่ติดกับการเยียวยาในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เช่น การเยียวยาชาวนาที่นาข้าวเสียหาย พลเอกประยุทธ์เยียวยา 1,300 บาทต่อไร่ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์เยียวยา 2,222 บาทต่อไร่ ส่วนค่าซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหายจากน้ำท่วมพลเอกประยุทธ์เยียวยา 49,500 บาทต่อครัวเรือน รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์เยียวยา 240,000 บาทต่อครัวเรือน ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลชุดนี้อย่าด้อยค่าประชาชน เลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการตัดสินว่าประชาชนจะเลือกใครเป็นผู้นำประเทศ
นางสาวจิราพร กล่าวว่า การลงพื้นที่ของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมเท่านั้น สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการวางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหา ที่ผ่านมา ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยนำเรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งเข้าหารือในการประชุมสภาหลายครั้ง และยังมีผลการศึกษาการบริหารจัดการน้ำในประเทศไทยจำนวนมาก ทั้งแผนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทของรัฐบาลในยุคพรรคเพื่อไทย หรือผลการศึกษาน้ำท่วมอีกหลายฉบับที่ศึกษาโดยคณะกรรมการวิสามัญ สภาผู้แทนราษฎร แต่พลเอกประยุทธ์ไม่เคยสนใจ หากเป็นผู้นำที่มีความจริงใจก็ควรหยิบผลการศึกษาเหล่านั้นนำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริง และพี่น้องประชาชนคงไม่ได้รับผลกระทบมากขนาดนี้ ตอนนี้ประเทศต้องการผู้นำที่เด็ดขาด เร่งแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน