“พิชัย” เตือน “ประยุทธ์” คิดให้ครบก่อนเปิดประเทศ จี้ ยกเลิกเคอร์ฟิวใช้ พรก ควบคุมโรคฯ แทน พ.ร.ก ฉุกเฉิน และ เร่งฉีดวัคซีน 2 เข็มให้ถึง 70-80% เสนอ นโยบายช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ของ SMEs แนะ ต้องคิดถึงประเทศชาติ อย่าคิดแค่รักษาอำนาจ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรี ประกาศจะเริ่มเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ได้สร้างความกังวลให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่แน่ใจว่าที่ต้องประกาศเปิดประเทศเพราะพลเอกประยุทธ์ ประกาศไว้เองว่าจะเปิดประเทศใน 120 วัน ซึ่งครบกำหนดตรงกับวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็เลยวันมาแล้ว ทั้งนี้หลายฝ่ายเป็นกังวลถึงความพร้อมในการเปิดประเทศ โพลสำรวจบอกว่าประชาชนสูงถึง 60% ที่เห็นว่ายังไม่พร้อม เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มเพียง 34.9% เท่านั้น ซึ่งยังต่ำมาก เพราะประเทศที่เปิดประเทศได้จะมีประชากรที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มประมาณ 70-80% แต่ไทยมีแค่ครึ่งเดียว และ มีประชากรฉีดวัคซีนเข็มแรกเพียง 51.6% ซึ่งก็ต่ำเช่นกัน อีกทั้งการระบาดของไวรัสโควิดในประเทศก็ยังอยู่ในระดับสูงถึงวันละกว่าหมื่นราย และมีผู้เสียชีวิตประมาณเกือบร้อยคนทุกวัน การเปิดประเทศโดยประชากรยังได้รับวัคซีนครบสองเข็มในสัดส่วนที่น้อยมาก อีกทั้งยังมีการติดเชื้อภายในประเทศมากและยังมีคลัสเตอร์การติดเชื้อเใหม่พิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ เชียงใหม่ โคราช สระแก้ว พัทยา และ จังหวัดในภาคใต้ ฯลฯ จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก
ดังนั้น การเร่งเปิดประเทศอาจจะทำให้เกิดการระบาดรอบใหม่ และ อาจจะเกิดเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ ซึ่งจะเป็นปัญหาอย่างมาก และ หากเกิดการระบาดจนจะต้องปิดประเทศอีก ความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือ และ ชื่อเสียงประเทศตลอดจนเครดิตของรัฐบาลจะไม่เหลือเลย ถึงแม้จะนำลิซ่าและแอนเดรีย โบเชลลี่ มาโปรโมทโดยจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าไม่พร้อมและต้องปิดประเทศอีก จะเป็นการประจานมากกว่าจะเป็นการโปรโมทประเทศ ขนาดประเทศ สิงคโปร์ที่มีการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มของประชากรแล้วกว่า 80% ยังต้องปิดประเทศและเพิ่งจะประกาศเริ่มจะทยอยเปิดประเทศใหม่ ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์พิจารณาให้ดี อย่าเปิดเพราะเหตุผลทางการเมืองมากกว่าสภาพความเป็นจริงที่เป็นผลมาจากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ล้มเหลวเรื่องการบริหารจัดการวัคซีนมาจนถึงปัจจุบันที่ประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบสองเข็มยังมีสัดส่วนที่ต่ำ
นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ต้องคิดให้ครบ ถ้าจะเปิดประเทศพลเอกประยุทธ์ น่าจะต้องยกเลิกพ.ร.ก ฉุกเฉิน และยกเลิกเคอร์ฟิว แล้วเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะปกติ อีกทั้งที่ผ่านมา พ.ร.ก ฉุกเฉินก็ไม่ได้ป้องกันการระบาดได้แต่อย่างใด มีไว้เพื่อจัดการผู้ประท้วงและคนเห็นต่างเท่านั้น นอกจากนี้ การประกันภัยของนักท่องเที่ยว ต่างประเทศจะไม่คุ้มครองการเดินทางไปยังประเทศที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ดังนั้นจึงควรจะต้องนำ พ.ร.บ ควบคุมโรคติดต่อ ปรับปรุงใหม่มาใช้แทน แต่ปัญหาคือพลเอกประยุทธ์ ไม่แน่ใจว่าจะนำเข้าสภาฯ แล้วจะผ่านสภาฯ หรือไม่ เพราะความขัดแย้งที่รุนแรงภายในพรรคพลังประชารัฐเอง ซึ่งหากสภาฯ ไม่ผ่านพลเอกประยุทธ์ ก็จะต้องลาออก ดังนั้นปัญหาความขัดแย้งของพลเอกประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐเองจึงเป็นปัญหาของประเทศไปแล้ว
นอกจากนี้หากจะเปิดประเทศจริง พลเอกประยุทธ์ น่าจะต้องมีแผนงานในการช่วยเหลือ SMEs ที่มีปัญหาทางการเงินให้สามารถกลับมาเปิดดำเนินกิจการใหม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ซอฟท์โลนดอกเบี้ยต่ำ การลดดอกเบี้ย การยืดการชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการได้ ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจได้เคยเสนอไว้แล้ว และ ผลสำรวจของผู้ประกอบการก็ต้องการเรื่องนี้อย่างมาก และจะเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยในการแก้ไขปรับโครงสร้างหนี้ให้กับธุรกิจ SMEs นี้
การเปิดประเทศเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยเฉพาะจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้ารัฐบาลอย่างมาก ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ประเทศมีรายได้เข้ามา และ ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลง โดยเฉพาะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยที่รุมเร้ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ไปอีกนาน แต่การจะเปิดประเทศได้จะต้องมีความพร้อม โดยเฉพาะเรื่องสัดส่วนประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสของไทยยังต่ำมาก การเปิดประเทศโดยไม่พร้อมจะสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา อยากให้พลเอกประยุทธ์ ตัดสินใจด้วยเหตุและผล ต้องคิดถึงประเทศชาติมากกว่าแค่การรักษาอำนาจ เพราะในอดีตถึงปัจจุบันพลเอกประยุทธ์ คำนึงเพียงแค่การรักษาอำนาจจึงทำให้ประเทศทรุดโทรมย่ำแย่ลงได้ถึงขนาดนี้