“เพื่อไทย” ห่วง เงินเฟ้อพุ่ง ต้องขึ้นดอกเบี้ย ทำปัญหาเศรษฐกิจยิ่งเพิ่ม ชี้ ผู้นำประเทศ หากตามโลกไม่ทันพาไทยสู่ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน แนะ คิดได้แค่ฟื้นที่เก่า ประเทศอื่นจะแซงไปไกล

นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส. เลย กรรมการบริหาร และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนพุ่งขึ้นถึง 6.8% สูงที่สุดในรอบ 30 กว่าปี นับตั้งแต่ปี 1982 ระดับราคาสินค้าและค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบให้เงินเฟ้อของประเทศไทยในปีหน้าจะพุ่งถึง 3% หรืออาจมากกว่านั้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่ราคาน้ำมันลดลงในช่วงมีข่าวไวรัสโอไมครอน และราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นได้อีก

ผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงมากธนาคารกลางสหรัฐคงหลีกเลี่ยงที่จะขึ้นดอกเบี้ยได้ยาก โดยคาดกันว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะหยุด QE ในเดือนมีนาคม ปีหน้า และจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเดือนมิถุนายน และอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายครั้งเลย โดยคาดกันว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอาจจะพุ่งถึง 1.5% ภายในสิ้นปี 2023 ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ประเทศไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยย่ำแย่กว่าเศรษฐกิจสหรัฐมาก การที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยที่แย่อยู่แล้วยิ่งทรุดหนัก และเศรษฐกิจไทยอาจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน (Stagflation) ที่การขยายตัวต่ำ เงินเฟ้อสูง และคนตกงานมาก ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายจะมองว่าเงินเฟ้อที่เกิดจากการดันขึ้นของต้นทุนคือราคาน้ำมัน อาจเป็นแค่ชั่วคราวแต่นั่นคือมุมมองในแง่บวก หากไม่เป็นเช่นนั้น ประกอบกับภาวะอัตราการว่างงานสูงขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เป็นผล ซึ่งไม่แน่ใจว่าพลเอกประยุทธ์ จะเข้าใจหรือไม่ ในขณะที่ทางการจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกยังมีความกังวล และต้องติดตามความเป็นไปได้ของภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ( Stagflation ) ด้วยเหตุต้นทุนการผลิตสูง แต่ความต้องการซื้อในระบบเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น

ทั้งนี้ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย โดย คณะกรรมการการเงิน (กนง.) และ คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วง 2 เรื่องใหญ่ คือ 1) เรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และ 2) ความเสี่ยงที่ส่งผ่านระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในระบบการเงิน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือโอกาสที่จะเกิดหนี้เสียในระบบการเงินที่จะส่งผลกระทบต่อกันเป็นลูกโซ่ ซึ่งเป็น 2 เรื่องที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยแสดงความเป็นห่วงและเตือนล่วงหน้ามานานแล้ว แต่รัฐบาลกลับยังไม่มีแนวทางแก้ไขใดๆ มุ่งเพียงแจกเงินเข้าไปในกระเป๋าประชาชนเพื่อให้มีการจับจ่ายใช้สอย และเดินทางท่องเที่ยวซึ่งก็เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยังไม่เห็นแผนการที่ชัดเจนในการแก้หนี้ สุดท้ายก็จะมีปัญหาหนักจริงตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้ และหากประเทศไทยจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยตามทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐปัญหาทั้งสองเรื่องนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้น

หากกรอบคิดของผู้นำยังเป็นแบบเดิม และไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก ประเทศไทยก็จะวนเวียนอยู่แค่ว่าจะฟื้นที่เก่าหรือไม่ฟื้นถึงที่เก่า ทั้งที่ความจริงประเทศไทยต้องมองไปในอนาคตแล้วว่าประเทศไทยจะกลับมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้อีกครั้งได้อย่างไร โดยวิธีไหน อะไรจะเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากผู้นำยังไม่รู้หรือยังคิดไม่ออกก็ควรจะให้คนอื่นมาทำแทนแล้ว