“พลภูมิ” จี้ “รัฐ” เร่งแก้ปัญหา “น้ำมันแพง” หวั่นกระทบราคาสินค้า ซ้ำเติมความเดือดร้อน ปชช. แนะลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม.เขตบึงกุ่ม-คันนายาว พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังประสบกับภาวะวิกฤตหลายด้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เพราะจากการลงพื้นที่ ตนได้รับเสียงสะท้อนเกี่ยวกับปัญหาปากท้อง ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กินระยะเวลามากว่า 2 ปี และยังไม่มีทีท่าว่าวิกฤตนี้จะจบลง เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับมาอยู่ที่หลักหมื่นอีกครั้ง ซึ่งผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างสาหัสแล้ว
แต่ปัจจุบัน ยังต้องมาเจอปัญหาซ้ำเติมในเรื่องของราคาน้ำมัน ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ปัจจุบันราคาอยู่ที่สูงกว่า 92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลแล้วและยังมีแนวโน้มจะแพงขึ้นไปอีก และประเทศไทย นำเข้าน้ำมันดิบถึง 85% ของน้ำมันที่ใช้ ทั้งหมด โดยนำมาใช้กลั่นทำน้ำมันดีเซลถึง 60% ของการใช้น้ำมันทั้งหมด เพื่อใช้ในการขนส่งและทางการเกษตร ดังนั้น เมื่อน้ำมันแพง ก็ย่อมส่งผลกระทบทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคและการบริการ มีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ประชาชนเดือดร้อนหนักเข้าไปอีก ทำให้สินค้าแพงและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น จนได้ชื่อว่า “แพงทั้งแผ่นดิน”
ดังนั้นรัฐบาลควรจะออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยข้อเสนอที่จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้ และเป็นส่วนที่อยู่ในการดูแลของรัฐ คือ การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่รัฐบาลเก็บถึงลิตรละ 5.99 บาท รวมภาษีมูลค่าบนภาษีอีกรวมเป็นลิตรละ 6.41 บาท ซึ่งในอดีตในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แทบไม่ได้เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลนี้เลย โดยเก็บเพียงลิตรละ 0.005 บาท หรือ ครึ่งสตางค์เท่านั้น การลดการเก็บภาษีสรรพากรน้ำมันดีเซลจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงได้ทันที โดยไม่ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันที่มีสถานะติดลบไปแล้วกว่า 14,000 ล้านบาท มาอุดหนุนราคาแต่อย่างใด และให้กำหนดราคาน้ำมันที่โรงกลั่นตามต้นทุนที่แท้จริงเท่ากับราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ โดยต้องไม่มีค่าขนส่งซึ่งเป็นการเอาเปรียบประชาชน อีกทั้งปรับลดราคาส่วนผสมของพืชพลังงานทั้งราคาเอทานอลที่ผสมในแก๊สโซฮอล์ และ ราคาน้ำมันปาล์มที่ผสมในไบโอดีเซล อย่าให้สูงเกินไปมาก และเมื่อราคาน้ำมันลดลง ราคาสินค้าต่างๆ ก็จะปรับตัวลดลงตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นการลดค่าครองชีพของประชาชน นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องควบคุมราคาสินค้าให้ได้ผล ก่อนที่ประชาชนจะเดือดร้อนกันมากกว่านี้
ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่นี้ ประเทศไทยต้องการรัฐบาลที่มีความรู้ความสามารถเข้าใจความลำบากของประชาชนเข้ามาบริหารจัดการ หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ มัวแต่จะยุ่งกับความขัดแย้งภายในพรรคตัวเองหรือขัดแย้งในพรรคร่วมจนไม่ได้สนใจความทุกข์ยากของประชาชนก็ควรจะยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ได้แล้ว