นายนิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า ในสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ รัฐบาลต้องปรับนโยบายเพื่อให้เข้ากับสถาการณ์ โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการควบคู่กันไป มาตรการที่รัฐบาลออกมา 10 มาตรการที่ออกมาช่วยประชาชน เป็นมาตรการที่ดีแต่ช้าไปและไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย รัฐอ้างประชาชน 40 ล้านคนได้ประโยชน์ แล้วอีก 37 ล้านคนรัฐไม่ให้ความสำคัญเพราะอะไร การช่วยเหลือประชาชนต้องเปิดให้ทุกคนได้รับประโยชน์ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ในขณะเดียวกันการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย หรือ ไมโครเอสเอ็มอี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเข้าใจก่อนว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีคือหัวใจของเศรษฐกิจ ไม่ใช่นายทุนเจ้าสัว ดังนั้นต้องต้องลงไปกำกับดูแลอย่าอ้างว่าสั่งไปแล้ว เพราะหลายครั้งที่สั่งแล้วไม่ทำ รัฐอ้างว่าให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ลงไปกำกับดูแล หากธนาคารพาณิชย์ไม่เล่นด้วย หรือ เกรงว่าจะมีความเสี่ยงจึงเลือกที่จะไม่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ สุดท้ายก็เจ๊งกันไปหลายแสนราย

นายนิยม กล่าวด้วยว่า ผลงานพลเอกประยุทธ์ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมามีอะไรบ้างที่จับต้องได้ อ้างทำงานเยอะรัฐบาลทำงานให้ใคร ให้ประชาชนหรือให้นายทุนรายใหญ่ เพราะหลังรัฐประหารมาเป็นผู้นำประเทศพลเอกประยุทธ์ ประกาศจะดูแลเกษตรกร จนถึงวันนี้เกษตรกรไม่เคยได้รับการดูแลจากรัฐบาลแต่อย่างไร

“พลเอกประยุทธ์ อ้างมีโครงการประกับรายได้เกษตรกร ช่วยให้เกษตรกรได้ประโยชน์ ในความเป็นจริงใครได้ประโยชน์ ทางที่ดีรัฐบาลควรมีโครงการประกันต้นทุนเกษตรกรจะช่วยได้มากกว่า ทั้งนี้ต้นทุนการเกษตรปรับตัวสูงขึ้นทุกชนิดสวนทางกับราคาผลิตผลทางการเกษตร จนเกษตรกรยิ่งทำยิ่งขาดทุน หลายปีที่ผ่านมาเกษตรในหลายพื้นที่นำผลิตผลทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็นมะม่วง ลำใย ข้าว มาเททิ้งประจานผลงานรัฐบาลเป็นจำนวนมาก พลเอกประยุทธ์ไม่เคยสนใจ ที่ผ่านมารู้จักแต่ใช้อำนาจแต่ไม่รู้จักใช้อำนาจให้เกิดประโยชน์กับประชาชน