“อรุณี” ชี้ยุคประยุทธ์ทำ “วิกฤตคนเสื่อม” หลังนักการเมือง-คนดัง เอี่ยวคดีละเมิดทางเพศและค้ามนุษย์ แนะทบทวนกฎหมายคุ้มครองสตรี ยึดหลักผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง
ดร.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีคดีความของนักการเมือง หรือผู้มีอำนาจ ใช้กำลังกดขี่ข่มเหงล่วงละเมิดทางเพศ และอาจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์จนเกิดเป็นคดีความ ได้สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนของสังคมปิตาธิปไตยหรือสังคมชายเป็นใหญ่ที่ยังมีอยู่ในสังคมไทย หลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดทางเพศและการค้ามนุษย์ที่ถูกกระทำโดยนักการเมือง แต่กลับถูกละเลยจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยิ่งสะท้อนว่าผู้นำของไทยไม่สนใจความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชนที่เป็นปัญหาที่สากลโลกตระหนักรู้และให้ความสำคัญในขณะนี้
ดร.อรุณี กล่าวอีกว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานและเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนในมิติต่างๆ กลายเป็นเรื่องปกติจนเกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระบวนการยุติธรรมมีจุดบกพร่องด้วย แม้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้สิทธิ์ผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาได้เอง แต่ผู้เสียหายใช้สิทธิ์น้อยมาก เพราะต้องใช้กำลังทรัพย์ในการเข้าถึงทนาย การหาพยานหลักฐานที่ทำได้ยาก และกระบวนการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อยาวนาน ดังนั้น ควรมีการทบทวนหรือแก้ไขข้อกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิของสตรีโดยให้ยึดหลักผู้เสียหายคือศูนย์กลาง และเมื่อเกิดกรณีพิพาทให้เกิดความเป็นธรรมและต้องลงโทษผู้กระทำผิดให้หลาบจำไม่ให้กลับมาทำผิดซ้ำด้วย
“ขณะนี้สังคมไทยกำลังเกิด ‘วิกฤตคนเสื่อม’ เป็นวิกฤตทางสังคมที่ผู้มีอำนาจ ผู้ที่ควรเป็นที่พึ่งที่หวัง เป็นเครื่องชี้นำให้กับสังคมกลายเป็นผู้สร้างวิกฤตให้กับสังคมเสียเอง ทั้งวงการพระสงฆ์ ครูอาจารย์ นักการเมือง ที่กระทำผิดเพราะหลงคิดว่ามีอำนาจแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบ แต่ลืมมองว่าโลกยุคใหม่สังคมร่วมทำหน้าที่ตรวจสอบหาหลักฐาน เปิดโปงอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับคดีของตาสีตาสาที่กระบวนการทางคดีจะมีความยืดเยื้อยาวนาน การพิจารณาโทษจะละเอียดรอบคอบกว่าคนทั่วไป จนสังคมตั้งคำถามว่าคุกมีไว้ขังคนจนใช่หรือไม่ ตลอด 8 ปีที่มีผู้นำชื่อพลเอกประยุทธ์ ประเทศไทยเสื่อมโทรมลงทุกด้าน อย่าให้สังคมและประชาชนต้องเสื่อมศรัทธากับความยุติธรรม ความไม่เท่าเทียมที่ถูกละเลยมานานกว่า 8 ปีอีกเลย” ดร.อรุณี กล่าว