“โฆษกเพื่อไทย” ชี้ “ประยุทธ์” ควรตรึงน้ำมัน-ค่าไฟนานแล้ว หยุดเป็นผู้นำที่อยู่ไปวันๆ เร่งแก้ปัญหาอย่ารอเกิดวิกฤต
นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การชะลอการขึ้นราคาน้ำมันดีเชลอีกลิตรละ 2 บาท โดยตรึงราคาน้ำมันดีเชลให้อยู่ที่ลิตรละ 32 บาทและการลดค่าเอฟที ระยะเวลา 4 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ที่รัฐบาลประกาศมานั้น แม้จะเป็นมาตรการที่ถือว่าล่าช้า ไม่เท่าทันกับความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่พรรคเพื่อไทยเสนอแนะ แต่ก็ถือเป็นการตอบรับข้อเรียกร้องที่สามารถลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนได้ เนื่องจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลจะช่วยลดภาระต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในฝั่งของต้นทุน และในฝั่งของผู้ซื้อซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ยังอยากเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาตรึงราคาน้ำมันทุกประเภทต่อเนื่องไปอีกระยะ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดได้ปรับลดลงต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว ซึ่งจะช่วยลดภาระการนำเงินกองทุนน้ำมันไปอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลลงได้
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ระบบห่วงโซ่อุปทาน หรือ supply chain ของไทยถูกกำหนดด้วยราคาน้ำมันเป็นหลัก เพราะโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในประเทศไม่ได้ถูกพัฒนามาเกือบ 10 ปี จากผู้นำที่ไร้วิสัยทัศน์ทำประเทศไร้การพัฒนา คนจนล้นประเทศกว่า 20 ล้านคน ประชาชนเป็นหนี้สูงกว่ารายได้เกือบ 5 เท่า คนไทยที่ไม่ควรตายด้วยโรคระบาดก็ต้องตายด้วยการบริหารจัดการที่ผิดพลาด ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรปรับตัวก่อนที่จะอำลาเส้นทางทางการเมือง เหลือเวลาอีกไม่นานที่จะได้นั่งบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ควรต้องรู้ว่าต้องเร่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหา ในขณะเดียวกันต้องมองไกล มีวิสัยทัศน์ วางรากฐานอนาคตให้กับลูกหลานบ้าง หยุดพฤติกรรมปล่อยปละละเลยวิกฤตของประเทศจนเกิดความเสียหายก่อนแล้วค่อยวิ่งไล่ตามปัญหา ประเทศเสียหายมามากพอแล้ว
“โรคระบาด เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้นำล้มเหลว คือสิ่งที่คนยุคนี้ต้องเจอมาตลอดเกือบ 10 ปี พลเอกประยุทธ์ ไม่ควรเป็นผู้นำที่ ‘อยู่ไปวันๆ’ ไม่กระตือรือร้นที่จะทำอะไรเพื่อประโยชน์องค์รวมของประเทศ สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเสนอแนะไปหลายครั้ง และเป็นการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้ามาให้แล้ว ก็ควรเร่งนำไปปรับใช้บ้าง อย่าปล่อยให้เจ๊งแล้วตามแก้ อย่าถือทิฐิจนมองข้ามผลประโยชน์ของประชาชน ถ้าเชื่อเราเร็วกว่านี้ ประชาชนก็คงจะไม่เดือดร้อนมากขนาดนี้” นางสาวธีรรัตน์ กล่าว