นายเลิศศักดิ์ พัฒนกุลชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเลย กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศขึ้นราคาน้ำมันดีเซลอีก 1 บาท พร้อมกับประกาศขึ้นราคาก๊าซหุงต้มอีก กก. ละ 1 บาท เช่นกัน เป็นถัง 15 กก. ราคา 363 บาท ได้เพิ่มภาระความลำบากให้กับประชาชนที่ลำบากกันอยู่แล้วอย่างมาก และจะยิ่งเพิ่มภาระเงินเฟ้อที่สูงอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เข้าใจดีว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกได้เพิ่มขึ้นสูงและราคาน้ำมันได้พุ่งทะลุ $120 ต่อบาเรลแล้ว แต่รัฐบาลควรที่จะปรับโครงสร้างราคาน้ำมันให้ลดลงมาก่อน ถึงจะปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล

ทั้งนี้การที่พลเอกประยุทธ์ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ตามที่ตนและนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ เสนอและเรียกร้องมาตลอด เป็นเรื่องที่ถูกต้องและควรที่จะทำก่อนหน้านี้ โดยไม่ต้องรอให้ราคาพุ่งสูง สุดท้ายจะไม่ช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนเลยแต่อย่างไร เพราะราคาน้ำมันดีเซลไม่ได้ลดลง แต่ยังเพิ่มขึ้นอีก

จึงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรต้องกลับไปพิจารณาหลายเรื่องที่พรรคเพื่อไทยและหลายภาคส่วนในสังคมได้เสนอไว้แล้ว เช่น เรื่องปรับราคาหน้าโรงกลั่นให้เท่าราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์โดยไม่ต้องบวกค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และยกเลิกการผสมน้ำมันปาล์มที่มีราคาพุ่งสูงมากในไบโอดีเซล ที่มีสื่อใหญ่ได้เผยว่ามีการกินหัวคิวกันอย่างมากในการผสมไบโอดีเซลนี้จากคนกลุ่มเดิมที่ทุจริตเรื่องสวนปาล์มที่อินโดนิเซีย ซึ่งไม่ผสม ราคาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มก็จะไม่ลดเพราะโลกกำลังขาดแคลนอาหารและน้ำมันปาล์ม เรื่องการปรับโครงสร้างราคามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องคิดทำก่อนเพื่อลดต้นทุนก่อนถึงจะมาขึ้นราคาน้ำมันเพื่อเพิ่มภาระให้กับประชาชน นอกจากนี้พลเอกประยุทธ์ จะต้องมีมาตรการออกมาช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพเพื่อช่วยเหลือประชาชนเหมือนรัฐบาลในอดีตที่เคยทำ เช่น ช่วยลดค่าน้ำประปา ลดค่าไฟฟ้า และลดค่าเดินทาง เป็นต้น

ผู้นำที่ดีควรจะต้องรับฟังข้อเสนอแนะของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะคำแนะนำที่เป็นประโยชน์เพื่อนำไปปรับใช้ โดยต้องไม่คิดแค่ว่าเป็นแต่การโจมตีของฝ่ายตรงข้าม และโต้ตอบแบบขาดองค์ความรู้ แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามข้อเสนอแนะอย่างเลี่ยงไม่ได้ดังเช่นในหลายๆ เรื่องที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เคยแนะนำไว้ จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากอย่างหนักของประชาชนในช่วงนี้