“พิชัย” ติง “ ประยุทธ์” ปล่อยค่าการตลาดน้ำมันพุ่งสูง สวนมาตรการที่ออกเอง ชี้ ผลกระทบการเมืองต่อเศรษฐกิจรุนแรง แต่ยังคิดแค่รักษาอำนาจ แนะ 3 แกน กลายเป็นจุดอ่อน ตอกย้ำความล้มเหลว

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับลงมาบ้างจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลก โดยสหรัฐเรียกร้องให้ประเทศซาอุดีอาระเบียเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบเพื่อทดแทนปริมาณของน้ำมันจากประเทศรัสเซียแต่ซาอุดีอาระเบียยังไม่ตอบรับ ทำให้ราคาน้ำมันเริ่มจะเด้งกลับขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างไรก็ตามจากการติดตามโครงสร้างราคาของราคาน้ำมันสัปดาห์ที่แล้วพบว่า พลเอกประยุทธ์ ปล่อยให้บริษัทน้ำมันขึ้นราคาค่าการตลาดไปสูงมากถึงลิตรละ 3.90 บาทถึง 5.71 บาท ซึ่งสูงมากๆ ทั้งที่ค่าการตลาดนี้ ต่างจากค่าการกลั่นที่รัฐบาลกำลังต่อรองอยู่ เพราะค่าการตลาดรัฐบาลสามารถสั่งลดลงได้เลย อีกทั้งพลเอกประยุทธ์ เพิ่งจะออก 8 มาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ระบุชัดเจนว่าค่าการตลาดน้ำมันบาทไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร แต่ปรากฎว่ากลับปล่อยให้เก็บค่าการตลาดสูงมาก ยิ่งตอกย้ำความด้อยประสิทธิภาพในการบริหารเศรษฐกิจและจัดการราคาพลังงานอย่างชัดเจน แต่พอโดนด่าเลยต้องรีบปรับลดลงแต่ค่าการตลาดน้ำมันเบนซินยังคงสูงมากถึงลิตรละ 3-4 บาทเลย และการลดค่าการตลาดลงหลังจากที่ถูกจับได้แสดงถึงการปล่อยให้บริษัทพลังงานลักไก่ขึ้นราคาทำกำไร

นอกจากนี้ค่าไฟฟ้าจะพุ่งถึง หน่วยละ 5 บาท ในงวดเดือนกันยายนนี้ จากก๊าซแอลเอ็นจีที่นำเข้าราคาพุ่งสูงขึ้นมาก และปัญหาการนำก๊าซจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้จากการเปลี่ยนสัมปทาน ทั้งนี้การใช้ สมช. แก้ปัญหาพลังงานคงไม่น่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

ทั้งนี้ จากความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบกลับไปกลับมา ที่ในตอนแรกได้แก้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แต่พอรู้ว่าตนเองจะแพ้การเลือกตั้งก็จะแก้กลับไปเป็นหาร 500 จึงอยากจะให้ประชาชนได้เห็นว่าผลของการเมืองไทยมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เศรษฐกิจไทยหลังจากการปฏิวัติรัฐประหารย่ำแย่มาตลอด ปัญหาหลักมาจากการขาดความเชื่อถือและขาดความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ การลงทุนหดหาย รายได้ลด หนี้พุ่ง ความสามารถแข่งขันทรุดหนัก คอรัปชั่นเบ่งบานโดยเฉพาะสื่อหลักต่างประเทศวิจารณ์ไทยและรัฐบาลไทยอย่างรุนแรงมาตลอด บ้างก็วิจารณ์ไทยย้อนหลังไป 30 ปี บ้างก็บอกไทยเป็นคนป่วยของอาเซียน บ้างก็ตำหนิผู้นำไทยว่าทำทุกอย่างเพื่อสืบทอดอำนาจ แต่กระนั้นประเทศไทยยังคงมี สว. 250 คน โหวตเลือกนายก แม้กระทั่งการเปลี่ยนมาเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเพื่อให้พรรคการเมืองเข้มแข็งก็ยังถูกกลับไปใช้หาร 500 เพื่อเข้าสู่วังวนเดิม แบบนี้เศรษฐกิจไทยคงยากจะฟื้นแน่ ความเชื่อถือและความมั่นใจจะยิ่งหดหาย จึงอยากเรียกร้องประชาชนให้ลงโทษการกระทำที่สร้างความสับสนนี้ เพียงเพื่อจะรักษาอำนาจของตนเองเท่านั้น เหมือนการเลือกตั้งซ่อมที่ลำปางที่เพิ่งผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พยายามดิ้นรนที่จะอยู่ต่อ เพื่อรักษาอำนาจของตนเองโดยไม่สนใจว่าประเทศจะเสื่อมถอยขนาดไหนจะยิ่งทำให้ประชาชนลำบากมากยิ่งขึ้นและจะยิ่งเบื่อ โดยล่าสุดได้ออกมาแถลง 3 แกน ที่ออกมาแล้วแป๊ก ซึ่งเป็นเหมือนการท่องจำมากกว่าจะเข้าใจ จึงอยากชี้แจงให้พลเอกประยุทธ์ได้เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริงดังนี้

1.เรื่องการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ตลอด 8 ปีพลเอกประยุทธ์แทบไม่ได้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของไทยเลย ล่าสุด IMD จัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานของไทยอยู่อันดับที่ 44 ลดลงจาก อันดับ 43 จาก 63 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งอาจดูง่ายๆว่า ขนาดโครงการ 2 ล้านล้านบาท สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้ทำไปถึงไหน ถ้าได้ทำป่านนี้ไทยคงพัฒนาไปไกลแล้ว อีกทั้งการบริหารจัดการน้ำก็ไม่ได้ทำ โครงการรถไฟความเร็วสูงก็ทำแค่ 3.5 กม. แพ้ประเทศลาวแบบราบคาบและหากจำกันได้พลเอกประยุทธ์ จะพูดเสมอว่าประเทศไทยไม่มีเงินพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่พอเกิดวิกฤตไวรัสโควิดกลับกู้เงินเป็นหลายล้านล้านบาท หนี้สาธารณะพุ่งทะลุ 10 ล้านล้านบาทแต่ประเทศไม่ได้พัฒนาไปไหนเลย โครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมเป็นไปอย่างล่าช้าและ การพัฒนาหลายด้าน เอื้อประโยชน์แก่นายทุน โครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาตกต่ำ และยังยกเลิกโครงการการแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนซึ่งจะช่วยเด็กไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิตอลได้ และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิตอลที่เป็นอนาคตกลับไม่ได้มีการปรับปรุงเลย ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ จะคิดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในตอนนี้ก็ต้องระวังหนี้สาธารณะที่สูงมากให้ดี เพราะจะทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอีกมาก และที่สำคัญต้องคำนวณรายได้ให้คุ้มค่า ไม่ใช่สักแต่จะทำโดยขาดความรู้ความเข้าใจ สุดท้ายจะเป็นเหมือนประเทศศรีลังกาที่ล้มละลายเพราะผู้นำขาดความรู้ความสามารถเพียงพอทุ่มเงินทำแต่ไม่ได้รายได้แถมมีคอรัปชั่นสูงสุดท้ายประเทศล้มละลาย

2.เรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) เรื่องนี้คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย พูดมาไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีแล้ว แต่พลเอกประยุทธ์ เพิ่งจะมานึกได้ โดยการอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ย้ายฐานการผลิตไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียเป็นจำนวนมากแล้ว ประเทศไทยต้องหันมาดูว่าเรามีจุดแข็งอะไรถึงจะดึงดูดเขามาได้ ในการประชุมระหว่างสหรัฐและอาเซียน ประธานาธิบดีวิโดโด ของอินโดนีเซียได้นัดหารือกับนายอีลอน มัสก์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัทเทสลา เพื่อจะผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซียในขณะที่พลเอกประยุทธ์ ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย และไม่ได้นัดเจอใครเลย ทั้งนี้ต้องทราบว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันขาดแคลนแบตเตอรี่และไมโครชิพ ที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยได้บอกไว้นานแล้ว การที่ต้องเร่งให้มีการผลิตแบตเตอรี่และไมโครชิพในประเทศไทยจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น อีกทั้งต้องเข้าใจว่าอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นระบบ Autonomous คือ เป็นรถยนต์ไร้คนขับ และใช้ระบบควบคุมการเดินรถเอง ซึ่งรัฐบาลในอนาคตจะต้องเตรียมตัวรองรับเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่งพลเอกประยุทธ์ ไม่น่าจะเข้าใจ นอกจากนี้ ยังต้องมองหาระบบการเดินทางในอนาคตแบบอื่นด้วยเช่น โดรนไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้า และ เรือพลังงานไฟฟ้า อีกทั้งจะต้องมองหาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูงด้านอื่นด้วยเช่น อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ ที่ปัจจุบันประเทศเวียดนามเป็นผู้นำไปแล้ว เป็นต้น รวมถึงการส่งเสริมและการเสริมสร้างบรรยากาศให้เกิดธุรกิจด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในประเทศไทยจำนวนมากๆ ให้ได้ เพื่อสร้างเอสเคิร์ฟใหม่ให้เศรษฐกิจไทย

3.การพลิกโฉมภาคธนาคารเพื่อช่วยประชาชน แสดงถึงว่าพลเอกประยุทธ์ยังไม่เข้าใจเรื่องภาคธนาคารเลย ปัญหาของประเทศปัจจุบันคือหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเกือบ 15 ล้านล้านบาท หรือ สูงกว่า 90% ของจีดีพี สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก ทั้งนี้เกิดมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของพลเอกประยุทธ์เอง พลเอกประยุทธ์ จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร อีกทั้งหนี้เสียในภาคธนาคารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และ ดอกเบี้ยกำลังจะเป็นขาขึ้น จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้รุนแรงขึ้น พลเอกประยุทธ์ จะแก้ปัญหาอย่างไร การใช้เทคโนโลยีในภาคธนาคารไม่ได้แก้ปัญหานี้ การแก้ปัญหาคือการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนเพื่อมาใช้หนี้ได้ อีกทั้งเพิ่มจีดีพีให้โตมากๆ เพื่อให้สัดส่วนของหนี้ลดลง การลดหนี้ ลดดอกเบี้ย สำหรับธุรกิจที่ประสบปัญหาช่วงโควิดและจะสามารถประคองธุรกิจให้รอดพ้นได้ จะทำได้อย่างไร พลเอกประยุทธ์ จะต้องเข้าใจปัญหาให้ถูกต้องก่อน การเข้าถึงแหล่งทุนเป็นเรื่องจำเป็น ที่พรรคเพื่อไทยเห็นความสำคัญมาตลอด จากนโยบายกองทุนหมู่บ้านที่ประสบความสำเร็จในอดีตสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ดังนั้นอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้ศึกษาและเข้าใจไม่ใช่ไปท่องมา แต่ไม่รู้เรื่อง

แม้การปรับปรุงตัวเองจะเป็นเรื่องดี แต่ควรจะปรับปรุงมา 8 ปีที่แล้ว เพราะเรื่องเหล่านี้พรรคเพื่อไทยเตือนมาตลอด แต่พลเอกประยุทธ์ ไม่เคยฟังและไม่เข้าใจ จนกระทั่งความนิยมของตัวเองไม่เหลือแล้วถึงจะมาแก้ไขตัวเองซึ่งช้าไปมากแล้ว แถมยังตำหนิรัฐบาลอื่นเรื่องการแจกเงิน แต่จากข้อมูลตัวเลขหนี้ที่เพิ่มขึ้นพิสูจน์ชัดเจนว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ แจกเงินมั่วที่สุด อีกทั้ง 8 ปีที่ผ่านมายังทำรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้นไม่ได้ แล้วอีก 2 ปีข้างหน้าจะทำให้เพิ่มได้อย่างไร น่าจะเป็นแค่วาทกรรมหาเสียงเท่านั้น

ดังนั้น เรื่อง 3 แกน ที่พูดถึงจึงเป็นจุดอ่อนและความล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์มากกว่าจะนำมาหาเสียงได้เพราะ โครงสร้างพื้นฐานของไทยล้าหลัง อุตสาหกรรมของไทยที่เสื่อมถอย ระบบการเงินการคลังของไทยมีปัญหามาก จากหนี้ที่พุ่งไม่หยุด แถมดอกเบี้ยกำลังจะพุ่ง ยิ่งพูดยิ่งเป็นการประจานตัวเองมากกว่า และยิ่งตอกย้ำว่าเวลาของพลเอกประยุทธ์ ในการบริหารประเทศน่าจะต้องสิ้นสุดได้แล้ว