“เพื่อไทย” จี้ อธิบดีกรมอุตุฯ ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างโครงการติดตั้งสถานีตรวจวัดปริมาณน้ำฝน หลังอนุกมธ.กังขาติดตั้งให้หน่วยงานมีกำไรใช้ฟรี แต่ไม่ค่อยตรงตามภารกิจของหน่วยงาน
เมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธาน คณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ 2 ในคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 66 กล่าวว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ 2 ที่มีการพิจารณางบประมาณ แผนบูรณาการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยเจ้าภาพหลัก คือสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และกรมอุตุนิยมวิทยา ได้รับงบประมาณ 213,522,800 บาทนั้น มีคณะกรรมาธิการงงบประมาณรายจ่ายปี 66 จากห้องใหญ่ ติดตามการของบประมาณของกรมอุตุฯ เนื่องจากกรมอุตุฯ ของบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปีมาตั้งแต่ปี 2564 ใน 2 โครงการ คือ 1.โครงการติดตั้งสถานีตรวจวัดปริมาณน้ำฝน 1,100 จุดซึ่งทางคณะอนุกรรมมาธิการได้สอบถามว่าจะติดตั้งที่ใดบ้าง ก็ได้รับคำตอบจากกรมอุตุฯว่าได้มีการทำหนังสือไปถึงหน่วยงานรัฐในแต่ละจุดแล้ว และ 2.โครงการปรับปรุงเครื่องตรวจวัดระดับน้ำ ซึ่งโครงการนี้ถูกตัดงบประมาณในปี 66แต่ทราบว่าหากมีการทำสัญญากัน ในปี 67 จะมีการดำเนินการตั้งงบฯ กลับมาให้ใหม่ หรือเรียกง่ายๆว่าการเปลี่ยนงวดงาน ทั้งที่โครงการเหล่านี้ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับประชาชนตามภารกิจของกรมอุตุฯแต่เป็นการทำประโยชน์ให้แก่บางหน่วยงาน เช่นกรณีการติดตั้งสถานีเรด้าตรวจวัดปริมาณน้ำฝนประจำสนามบินแล้วให้วิทยุการบิน และการท่าใช้งานฟรี ทั้งที่วิทยุการบินและการท่าเป็นหน่วยงานที่มีกำไรมหาศาล หากจะติดตั้งสถานีเรดาร์ประจำสนามบินก็ควรให้หน่วยงานเหล่านี้ ดำเนินการเอง หรือต้องซื้อข้อมูลจากกรมอุตุฯ ไม่ใช่นำงบฯจากภาษีของพี่น้องประชาชนไปติดตั้งให้หน่วยงานที่มีกำไรใช้งานฟรี
นายอุบลศักดิ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวจากภายในกรมอุตุฯ ว่า มีคนในกรมที่ทำตัวเป็นตัวแทนบริษัทคอยผูกขาด
สเปคอยู่นานกว่า 20 ปีแล้ว ทางคณะอนุกรรมาธิการอยากให้กรมอุตุฯทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการติดตั้งสถานีวัดระดับปริมาณน้ำฝน โดยควรนำข้อมูลมาแปลผลเพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรที่ทำการเพาะปลูก หรือทำการเกษตร ในรูปแบบที่เข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่าย ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้อธิบดีกรมอุตุฯตั้งกรรมการที่มีความโปร่งใสขึ้นมาดำเนินการในเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะทราบว่ามีบุคลากรภายในกรมอุตุฯน่าเชื่อว่ามีการบิดเบือนการใช้งบประมาณตรงจุดนี้มาเป็นระยะเวลานาน โดยอธิบดีกรมอุตุฯจะต้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้ก่อนที่งบประมาณจะผ่านมิเช่นนั้นจะทำให้เกษตรกรไทยเสียโอกาสอย่างมหาศาล ซึ่งตนจะนำเรื่องนี้ไปอภิปรายในวาระสองต่อไป