โฆษกเพื่อไทยจี้ ป.ป.ช.เร่งสืบข้อเท็จจริงเอาผิดคนรับกล้วยหลังศึกซักฟอก ชี้ทั้งหมดเป็นผลไม้พิษจาก รธน.60
นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส. กทม.และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ในท้ายที่สุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและนั่งร้านรวม 11 คน จะอยู่รอดปลอดภัยในสภา แต่ศรัทธาของประชาชนหมดสิ้นแล้ว จากข้อมูลที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านได้เปิดโปงข้อมูลส่อทุจริตในหลายประเด็น เช่น กรณีที่นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวข้องทุจริตถุงมือยางภาค 2 วงเงิน 2,000 ล้าน ที่ควรถูก ป.ป.ช.อายัด แต่ถูกเบิกออกยักย้ายถ่ายเทหนี , กรณีโอนหุ้นออกจากบริษัทเอกชนของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เคยถือหุ้นอยู่ มีหลักฐานมีพิรุธ ไม่น่าเชื่อถือ, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่บกพร่องไม่ดูแลภัยแกงค์อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ แต่งตั้งคนสนิทเป็นที่ปรึกษารับงานศูนย์ดิจิทัลที่ส่อทุจริต รวมถึงประเด็นการขาดจริยธรรม หรือกรณีที่นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการท่อส่งน้ำ EEC เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งของความไม่ชอบมาพากลที่มาพร้อมหลักฐานที่ฝ่ายค้านรวบรวมมาได้จะสามารถมัดตัวผู้กระทำผิดโดยเฉพาะนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นการทุจริตเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะประเด็นหลังการลงมติไม่ไว้วางใจที่ได้ปรากฎหลักฐานการแจกจ่ายเงินให้กับพรรคการเมืองเพื่อต่อคานอำนาจให้พลเอกประยุทธ์ได้อยู่ต่อ กระบวนการต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ต้องเร่งดำเนินการสืบหาข้อเท็จจริงให้แน่ชัดและเอาผิดโดยเร็ว
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ที่พลเอกประยุทธ์ได้อยู่ต่อ เป็นไปตามที่ฝ่ายค้านได้คาดการณ์เอาไว้ว่าอาจมีเหตุการณ์ “กล้วยช่วยค้ำตู่” หรือไม่นั้น ก็เกิดขึ้นจริง ยิ่งเป็นการยืนยันว่า สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้คือผลไม้อาบยาพิษรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือ “รัฐธรรมนูญฉบับเพื่อพวกเขา” ที่ได้สร้างความอ่อนแอให้กับพรรคการเมือง และยังทำให้การเมืองไทยตกต่ำย้อนยุคไปในช่วงก่อนเกิดรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งมีที่มาจากการรัฐประหาร เป็นรัฐธรรมนูญแฝดพี่ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ทำให้การเมืองไทย โดยเฉพาะการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติอ่อนแอ ถดถอยลง เกิดการต่อรองผลประโยชน์ซื้อขายตัวนักการเมืองไม่ต่างจากสินค้าในตลาดมืด ทำให้นักการเมืองไม่เป็นที่พึ่งที่หวังให้กับประชาชน
“หากสภาสามารถเนรมิตไร่กัญชาไร้ที่มาได้ฉันท์ใด อะไรในสภาแห่งนี้ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ดิฉันเขื่อว่าจากนี้ไปความขัดแย้งทางการเมืองอาจคุกรุ่นขึ้นจากผลพวงของการหลงไหลเสพติดในอำนาจของผู้นำเผด็จการคนนี้ อนาคตทางการเมืองของพวกท่านดับวูบแล้วนับตั้งแต่ฝ่ายค้านได้อภิปรายจนจบ เลือกตั้งครั้งหน้าไม่มีที่ยืนสำหรับพวกท่านแล้วค่ะ” นางสาวธีรรัตน์กล่าว