“พิชัย” ชี้ “ประยุทธ์” แม้โหวตผ่านแต่สอบตกอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและพลังงานชี้แจงมั่ว จี้ ข้อมูลไม่ตรงความจริง บอร์ด PTTGC คนของตัวเองหมด แนะ จะแก้ตัวว่าฉลาดต้องแสดงความฉลาด

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า แม้ผลการลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและอีก 10 รัฐมนตรี จะผ่าน แต่เป็นการลงมติที่สวนกับความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ ขนาดมีการเปิดโหวตโดยมีคนกว่า 5 แสนคนจากคนไทยหลายประเทศปรากฏว่า 97% โหวตไม่ไว้วางใจ แถมยังมีเรื่องแจกกล้วยพร้อมหลักฐานการแจกในไลน์ที่หลุดออกมา ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายได้ดีและมีประสิทธิภาพ สามารถเปิดเผยความบกพร่องและข้อสงสัยการทุจริตของ นายกรัฐมนตรีและอีก 10 รัฐมนตรีได้อย่างมาก โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ได้สอบตกในการชี้แจงเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องพลังงาน ทั้งนี้ผลโหวตปรากฏว่าพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ กลับมีคะแนนโหวตสูงสุดได้รับความไว้วางใจ มากสุดที่ 268 คะแนน นำพลเอกประยุทธ์ถึง 12 คะแนน รองลงมาเป็นนายอนุทิน ชาญวีระกุล นำพลเอกประยุทธ์ถึง 8 คะแนน ทำให้สงสัยว่า 2 คนนี้เหมาะเป็นนายกฯ มากกว่าหรือไม่ ในขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่โม้ว่าผลงานของตนเองดี กลับได้คะแนนโหวตต่ำสุดเพียง 241 คะแนนเท่านั้น และ รมต. สายประชาธิปัตย์ทั้ง 3 คนได้คะแนนในระดับต่ำ น่าจะแสดงถึงผลงานที่ย่ำแย่ย้อนแย้งกับที่นายจุรินทร์โม้ และยังมีข้อครหาในการทุจริตที่ยังชี้แจงไม่ชัดเจน ซึ่งหากเป็นแบบนี้และยังอยู่ร่วมรัฐบาล โอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งคราวหน้าจะมีน้อยมาก และอาจจะสูญพันธุ์ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะใน กทม. ก็เป็นไปได้สูง

ในเรื่องเศรษฐกิจและพลังงานที่เชื่อว่าพลเอกประยุทธ์สอบตกนั้น สาเหตุมาการตอบข้อซักถามการอภิปรายที่ไม่ตรงประเด็น อธิบายสภาวะเศรษฐกิจว่าไปได้ดี ทั้งที่ประชาชนกำลังลำบากกันอย่างมาก อ้างว่าชำระหนี้ในจำนวนมากที่สุด ทั้งที่หนี้สาธารณะพุ่งทะลุ 10 ล้านล้านบาทแล้ว แต่เรื่องที่ตอบได้มั่วที่สุดน่าจะเรื่องปัญหาพลังงาน ทั้งที่ตอบเองและให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงานช่วยตอบ เพราะไม่ได้ตอบเรื่องทำไมปล่อยให้ค่าการตลาดพุ่งสูง ซ้ำเติมกับค่าการกลั่นที่แพงมาก และยังแก้ตัวมั่วเรื่องค่าไฟฟ้าที่แพงเพราะเกิดจากค่าความพร้อมที่สูงถึงเดือนละ 8,000 ล้านบาท ที่ต้องจ่ายโรงไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตเกินถึงกว่า 50% โดยอ้างว่าเป็นกำลังผลิตสำรองทั้งที่ความจริงกำลังผลิตส่วนเกิน 15% ก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งกำลังผลิตที่เกินนี้มีมาก่อนวิกฤตการณ์โควิดไม่ใช่เกิดจากโควิดตามที่กล่าวอ้าง อีกทั้งยังไม่การให้ใบอนุญาติผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมกันอีก สาเหตุแท้จริง เกิดมาจากการเอาใจนายทุนพลังงานที่สนิทกันพลเอกประยุทธ์ นอกจากนี้พลเอกประยุทธ์และนายสุพัฒนพงษ์ยังให้ข้อมูลย้อนแย้งกันเองเรื่องปัญหาข้อพิพาทในสัมปทานขุดก๊าซในพื้นที่อ่าวไทยทำให้ปริมาณก๊าซถูกนำขึ้นมาน้อยลง ที่พลเอกประยุทธ์ปฏิเสธแต่นายสุพัฒนพงษ์กลับยอมรับ แสดงถึงการขาดความรู้ความเข้าใจของพลเอกประยุทธ์

นอกจากนี้ การตอบเรื่องการลงทุน 148,000 ล้านบาทของบริษัท PTTGC ที่นำเงินไปซื้อบริษัทต่างประเทศในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังย่ำแย่ ต้องการการลงทุนในประเทศ และเงินทุนไหลออกนี้ น่าจะผลประโยชน์ทับซ้อนแน่ เพราะมีการตอบแบบไม่ตรงความจริง โดยพลเอกประยุทธ์และนายสุพัฒนพงษ์ อ้างว่าบริษัท PTTGC ที่เป็นบริษัทลูกของ บมจ. ปตท. เป็นบริษัทเอกชน ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ซึ่งไม่เป็นความจริงและ นายสุพัฒนพงษ์ ที่เคยเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารต้องเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด ทั้งที่เพราะ PTTGC มี บมจ. ปตท. ถือหุ้นอยู่ถึง 45.18% และ คณะกรรมการบริหารก็แต่งตั้งไปจากรัฐบาล มีนายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์ อดีตประธานบอร์ด บมจ. ปตท. ที่พลเอกประยุทธ์แต่งตั้งและโยกมาเพราะอายุเกินเป็นประธานบอร์ด มีพลโทนิธิ จึงเจริญ นายทหารคนสนิทของพลเอกประยุทธ์ และ ยังมีข้าราชการกระทรวงพลังงาน และ ผู้บริหาร ปตท. เป็นกรรมการ จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาลและกระทรวงพลังงานนั้นคงเป็นไปไม่ได้ และโดยปกติ การลงทุนของ PTTGC จะต้องมาขออนุมัติจาก รมว. พลังงานอยู่แล้ว ดังนั้นการแก้ตัวของพลเอกประยุทธ์และนายสุพัฒนพงษ์จึงตรงข้ามกับความเป็นจริงและเป็นที่สงสัยว่าจะต้องมีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงอยู่หรือไม่ถึงต้องบิดเบือนเพื่อปกปิดความจริง นอกจากนี้นายสุพัฒนพงษ์ยังไม่ได้ตอบคำถามในสภาเรื่องน้ำมันปาล์มมูลค่า 2,100 ล้านบาทของบริษัทย่อยของ PTTGC หายไป ในระหว่างที่นายสุพัฒนพงษ์ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของ PTTGC ด้วย

นอกจากนี้ยังมีเรื่องคดีเหมืองทองอัคราที่เป็นจุดตายของพลเอกประยุทธ์ โดยมีหลักฐานคำแนะนำของหน่วยงานทางกฎหมายไม่แนะนำให้ทำ ที่พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ชี้แจงเรื่องนี้เลย

นี่เป็นเพียงบางเรื่องเท่านั้น ยังมีอีกหลายประเด็นที่เป็นเรื่องคาใจประชาชน ดังนั้น จะเห็นได้ว่า พลเอกประยุทธ์ และ 10 รัฐมนตรีใช้พวกมากลากไปเพื่อให้ รอดพ้นจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศต่อไปแล้ว ยิ่งอยู่นานประชาชนยิ่งลำบาก การที่พลเอกประยุทธ์พยายามแก้ตัวว่ามีเซลล์สมอง 840,000 ล้านเซลล์ ทั้งที่เคยพูดเองว่ามี 84,000 เซลล์ ซึ่งมากกว่าคนปกติถึง 10 เท่า ไม่ได้ทำให้ประชาชนเชื่อพลเอกประยุทธ์แต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ไม่ได้แสดงความฉลาดที่จะมีเซลล์สมองถึง 10 เท่าของคนปกติได้ คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าน่าจะมี 84,000 เซลล์เท่าเดิมเพราะถ้าฉลาดจริงคงต้องไม่ยอมรับอย่างหน้าชื่นบานว่าทำปฏิวัติและจะต้องละอายใจและจะต้องดูออกแล้วว่าประเทศย่ำแย่และเสื่อมถอยขนาดไหนจากการบริหารของพลเอกประยุทธ์เองและต้องออกไปได้แล้ว