“เพื่อไทย” ชี้ “ประยุทธ์” ล้มเหลวทั้งโครงสร้างพื้นฐาน และ อุตสาหกรรมเสื่อมถอย เผย โครงสร้างพื้นฐานไทยอันดับ 44 จาก 63 ประเทศ อุตสาหกรรมกินบุญเก่า การลงทุนใหม่น้อยมาก
นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาคอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งตรงข้ามกับที่พลเอกประยุทธ์ได้แถลงยุทธศาสตร์ 3 แกน โดยมีข้อมูลชัดเจนว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยล้มเหลวมาตลอดในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ IMD ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานไทยอยู่อันดับที่ 44 จาก 63 เขตเศรษฐกิจ และ อุตสาหกรรมของไทยได้เสื่อมถอยมาก ทุกวันนึ้เหมือนกินบุญเก่า อาศัยการลงทุนในอดีตแต่การลงทุนใหม่มีน้อยมาก
โดยทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก ล้วนส่งผลกระทบต่อประเทศในแต่ล่ะประเทศอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ วิกฤตโรคระบาด รวมไปถึงสงครามระหว่าง ยูเครนกับรัสเซีย
สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกโดยรวม และในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่า การที่เรามีความเปลี่ยนแปลงจากยุค Analog มาเป็นยุค Digital นั้น ยิ่งทำให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น โลกเราหมุนเร็วขึ้น เพราะฉะนั้น การบริหารราชการ การบริการประเทศจำเป็นจะต้องมีการปรับตัวให้ทันกับเหตุการณ์ ให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องมองถึงอนาคตด้วยว่า อะไรกำลังจะมา อะไรกำลังจะเกิดขึ้น เพื่อที่เวลามันมาถึง เราจะได้เตรียมความพร้อม ที่จะรับมือกับวิกฤตการณ์ต่างๆ ได้ทันท่วงที
วันนี้มีหลายๆประเทศที่ปรับตัวไม่ทัน ยกตัวอย่างเช่น ศรีลังกา ตอนนี้ต้องถือว่า ล้มละลาย และผู้นำประเทศต้องลี้ภัย เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ ที่เราควรจะพึงระวัง
เศรษฐกิจโลก ขึ้นกับ ต้นทุน น้ำมัน พลังงาน อาหาร ประเทศรัสเซีย จัดอยู่ที่ลำดับ 3 ในการผลิตน้ำมัน ประมาณ 10% ของน้ำมันในโลก แก็ซธรรมชาติก็ยังอยู่ในลำดับต้นๆ รวมไปถึง ข้าวสาลี สิ่งเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งรัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องเข้าใจ และปรับตัวให้ทันต่อภาวะต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น
ประเทศไทยเอง เป็นประเทศที่พึ่งรายได้หลัก 2 อย่าง 1 ก็คือรายได้จากการท่องเที่ยว 2 คือ ภาคอุตสาหกรรม วันนี้เราต้องรีบอำนวยความสะดวกให้ต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ให้สามารถเข้าออกและเพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนกลับมาให้เกิดสภาพคล่อง ให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก SME แต่วันนี้กฎกติกาและนโยบายหลายอย่าง เช่น คนล่ะครึ่ง ที่ควรจะต้องช่วยส่งเสริมการขายแต่กลับไปเพิ่มค่าใช้จ่าย เก็บภาษีย้อนหลังกับผู้ประกอบการรายย่อย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็เอื้อรายใหญ่ ไม่ใช่รายเล็ก รัฐบาลตั้งกำแพงและค่าใช้จ่าย หลายอย่างให้ทั้งกับคนในประเทศและต่างประเทศ
สิ่งเหล่านี้ล้วนสวนทางกับการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก คนไทยจะอยู่ลำบากมากขึ้นหากรัฐบาลยังบริการงานแบบนี้ต่อไป